ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ (11 พ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเอกชนในยุโรป รวมถึงแอร์เมส อินเตอร์เนชันแนล อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยูโรโซน
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดบวก 5.57 จุด หรือ 0.14% แตะที่ 4,058.08 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 4,047.82-4,076.66 จุด
ดัชนี FTSEurofirst 300 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นบลูชิพในตลาดยุโรปปิดบวก 0.33% แตะที่ 1,153.41 จุด และดัชนี Stoxx Europe 600 Index ปิดบวก 0.3% แตะที่ 283.73 จุด
แต่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีขยับลง 6.47 จุด หรือ 0.09% แตะที่ 7,495.05 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 7,469.63-7,566.41 จุด
หุ้นแอร์เมส อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าหรูหราของฝรั่งเศสพุ่งขึ้น 3.3% หลังจากทางบริษัทเปิดเผยยอดขายไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 26% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ขณะที่หุ้นเมอร์คปิดพุ่ง 4.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้สุทธิที่ระดับ 6.35 พันล้านโครเนอร์ (1.2 พันล้านดอลลาร์) เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.89 พันล้านโครเนอร์
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหนี้สาธารณะในยูโรโซน และความไม่แน่นอนที่ว่ากรีซจะได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากไอเอ็มเอฟและสหภาพยุโรป (อียู) หรือไม่ หลังจากเกิดเหตุการประท้วงต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดในกรีซ
เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายตรวจสอบของอียูและไอเอ็มเอฟได้เดินทางไปยังกรุงเอเธนส์ของกรีซเมื่อวานนี้ เพื่อกดดันให้รัฐบาลกรีซเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจมากขึ้น แต่มีประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงบนถนนหลายสาย เพื่อต่อต้านรัฐบาลไม่ให้ประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติมเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือจากอียูและไอเอ็มเอฟ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า แผนกู้วิกฤตหนี้ของกรีซอาจจะไม่เป็นไปตามแผน หรืออาจล่าช้ากว่ากำหนด