นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสวีไอ(SVI) กล่าวว่า บริษัทเตรียมเงิน 100-150 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการซื้อกิจการในประเทศแถบยุโรป คาดว่าจะใช้วิธีระดมเงินทุนจากในสถาบันการเงินในประเทศ คาดว่าจะสรุปการซื้อกิจการได้ในไตรมาส 3/54 และจะเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาในปี 55
"การซื้อกิจการจังหวะนี้เป็นจังหวะที่ดี เพราะค่าเงินบาทแข็ง ดอกเบี้ยถูก"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/54 คาดว่ารายได้กำไรไม่ต่างจากไตรมาส 1/54 ที่มีรายได้ 81 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.45 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 229 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรงวดไตรมาสที่สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
และในไตรมาส 3/54 คาดว่าจะทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากโรงงานจัดซื้อวัตถุดิบที่ไต้หวันสามารถเจรจาต่อรองราคาวัตถุดิบได้ในราคาที่ถูกลง และปัญหาซัพพลายเชนจบลงไปแล้ว จึงส่งผลให้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)ปรับตัวดีขึ้น ทั้งปีนี้เชื่อว่ารายได้และกำไรจะทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ โดยเป้าหมายรายได้ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 30% จากปีก่อน
"เป้ารายได้ 330 ล้านเหรียญสหรัฐน่าจะทำได้ หลังครึ่งปีแรกมีรายได้ 160 ล้านเหรียญ ครึ่งหลังต้องมีรายได้ 170-180 ล้านเหรียญสหรัฐไม่ใช่เรื่องยาก"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นไปที่สินค้ากลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ เนื่องจากให้มาร์จิ้นสูงสุด และสิ้นปีนี้สัดส่วนรายได้อุปกรณ์การแพทย์จะเพิ่มเป็น 15% จากไตรมาส 1/54 ที่มีสัดส่วนราว 5% ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทเนื่องจากอุปกรณ์การแพทย์มาร์จิ้นดี โดยทั้งปีคาดว่าจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 12.5% ได้และอัตรากำรสุทธิ 9%
"ถ้ายอดขาย 1 หมื่นล้านบาท Net 9%ไม่มีปัญหาเพราะมาร์จิ้นดีต่อเนื่องหลังออฟฟิศที่ไต้หวันเสร็จและหลังเลือกตั้งค่าเงินบาทไม่น่าแข็งค่าเราประเมินว่าค่าเงินนบาท 30 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐป็นระดับที่เหมาะสม"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ภายในสิ้นปีนี้หลังจากกระบวนการเทคโอเวอร์กิจการใหม่ในยุโรปแล้วเสร็จ ยอดขายน่าจะเข้ามาเต็มที่ในปี 55 โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 380 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 20-30% จากปีนี้ ซึ่งยังไม่รวมการรายได้จากกิจการใหม่ในยุโรป และในปี 56 หากรวมรายได้จากกิจการใหม่แล้วคาดว่าจะมีรายได้ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 57 แตะ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากโรงงานที่ไปเทคโอเวอร์มีลูกค้าอยู่แล้ว โดยการเข้าเทคโอเวอร์กิจการเป็นเป้าหมายที่บริษัททำอย่างเนื่องเพื่อให้ได้รายได้ตามที่ตั้งไว้
ด้านงบลงทุนปีนี้มี 550 ล้านบาทใช้ไปแล้ว 400 ล้านบาทในตรมาส 1/54 ในการซื้อโรงงานแห่งใหม่ 250 ล้านบาทและซื้อเครื่องจักร 50 ล้านบาท รวมทั้งปรับปรุงเครื่องจักรและโรงงานที่ 3 เฟส 2 อีก 100 ล้านบาท ซึ่งจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 4/54 นอกจากนี้ ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขายโรงงานที่ 1 มูลค่า 250 ล้านบาท โดยขณะนี้ผู้สนใจแล้วแต่ยังไม่ได้ราคาที่ต้องการ
ขณะที่กรณีภัยพิบัติในญี่ปุ่นมีผลกระทบเรื่องวัตถุดิบเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะคริสตัล ราคาปรับแพงขึ้นแต่ก็สามารถปรับเพิ่มราคาขายกับลูกค้าได้ และไม่จำเป็นต้องโฟกัสงานที่ต้องใช้คริสตัสเป็นวัตถุดิบ โดยเดือน ก.ค. เชื่อว่าปัญหาหมดไปเพราะมีแหล่งซื้อวัตถุทั้งจาก จีน ไทย และยุโรปเข้ามาทดแทน