นายพีระพัฒน์ พุ่มทอง รองกรรมการผู้จัดใหญ่วางแผนและพัฒนาธุรกิจ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี(RATCH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 7.8 พันเมกะวัตต์ในปี 59 จากแผนการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดยปัจจุบันมีการผลิตราว 4.5 พันเมกะวัตต์
ทั้งนี้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสา 1,878 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับสปป. ลาว ใน 19 พ.ค.นี้ หลังลงนามกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)แล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำงึม3 ขนาด 440 เมกะวัตต์. คาดจะลงนามซื้อขายไฟฟ้าได้ในไตรมาส 2-3 ปี 54 และเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 60 รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซน้ำน้อย 390 เมกะวัตต์ คาดจะจะมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในไตรมาส 3 -4 ปี54 เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 61
"เป้าหมายที่จะมีการผลิต 7,800เมกะวัตต์ในปี 59 เรานับการผลิตที่ committed และเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่เกี่ยวกับการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์" นายพีระพัฒน์กล่าว
โดยในปี 61 จะมีกำลังผลิตเพิ่มเป็น 5,647.90เมกะวัตต์ จากการดำเนินโรงไฟฟ้าหงสา โรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม3 และโรงไฟฟ้าเชเปียนเซน้ำน้อย
ขณะดียวกันการลงทุนในกองทุน Transfield Services Infrastructure Fund (TSIF) ในออสเตรเลีย สัดส่วน 56.12% จะมีการผลิตเพิ่มเข้ามาประมาณ 900 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนที่ถือ โดยดีลนี้คาดว่าจะเสร็จในเดือนมิ.ยฺ. 54 ส่วนที่เหลือประมาณ 1 พันเมกะวัตต์ จะหาเพิ่มจากกาเข้าร่วมทุนหรือซื้อกิจการทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการเจรจาอยู่ 2-3 โครงการ และคาดว่าจะสรุปได้อย่างน้อย 1โครงการภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทยังมีสิทธิซื้อหุ้น TSIF ได้อีก 23.8% เพิ่มเป็น 80% จากบริษัท Transfield Services Limited (TSE) ภายใน 1 ปี และอาจจะพิจารณาลงทุนเพิ่มในโครงการพลังงานลมที่ TSE เป็นเจ้าของโครงการ 13 โครงการ
ขณะที่การลงทุนเหมืองอินโดนีเซีย นายพีระพัฒน์ กล่าวว่า เนื่องจากกฎระเบียบในอินโดนีเซียเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่แน่ใจว่าจะสรุปการลงทุนได้ในปีนี้ และขณะนี้บริษัทได้เริ่มทำการศึกษาใหม่ รวมถึงศึกษาการลงทุนเหมืองถ่านหินในประเทศอื่นด้วย
*คาดกำไร-รายได้ปี 54 ดีขึ้น
สำหรับผลประกอบการในปี 54 คาดว่ากำไรและรายได้ จะสูงกว่าในปีก่อน ที่มีรายได้ 4.5 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,056 ล้านบาท จากรายได้โครงการน้ำงึม 2 ที่คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อ 26 มี.ค. 54 และรายได้จากการลงทุนกองทุน TSIF ที่ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละประมาณ 12%ต่อปี จ่ายปีละ 2ครั้ง ทำให้คาดว่ารายได้ในครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก นอกจากนี้การออกหุ้นกู้และตั๋วแลกเงิน1.6หมื่นล้านบาททำให้สามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ 270 ล้านบาท ในช่วง 4 ปีนี้ มีส่วนผลักดันกำไรให้ดีขึ้น
ด้านนางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน RATCH คาดว่าบริษัทจะให้บริษัทย่อยออกหุ้นกู้รูปเงินสกุลดอลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปซื้อหุ้น TSIF จำนวนประมาณ 200 ล้านเหรียญออสเตรเลีย จะเสนอขายภายในไตรมาส 2/54 ให้กับนักลงทุนสถาบัน(PP)ในต่างประเทศ
ปัจจุบัน Net D/E อยู่ 0.04เท่า และมีเงินสดในมือประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเพื่อรองรับการเข้าซื้อกิจการหรือร่วมทุนโครงการใหม่