(เพิ่มเติม) BANPU คาดราคาขายถ่านหินปีนี้สูงกว่า 90 เหรียญฯ,จะออกหุ้นกู้ 1 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 13, 2011 16:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.บ้านปู(BANPU) คาดราคาขายถ่านหินเฉลี่ยในปีนี้ไม่ต่ำกกว่า 90 เหรียญสหรัฐ/ตัน หลังจากราคาขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาขายถ่านหินในช่วงไตรมาส 2/54 สูงกว่าไตรมาส 1/54 ที่อยู่ในระดับ 87 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรข้นต้นในปีนี้เพิ่มเป็น 42-45% จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 40% และปริมาณขายถ่านหินน่าจะอยู่ที่ 42 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อธุรกิจเหมืองในออสเตรเลีย

บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้วงเงิน 1 หมื่นล้านบาทในช่วงปลายไตรมาส 2/54 ถึงต้นไตรมาส 3/54

นางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การเงิน BANPU กล่าวว่า ในปี 54 ตั้งเป้าปริมาณขายถ่านหินทั้งกลุ่มที่ 42 ล้านตัน แบ่งเป็นถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซีย 25 ล้านตัน ออสเตรเลีย 16 ล้านตัน และจีน 1 ล้านตัน โดยราคาขายถ่านหินเฉลี่ยปีนี้จากเหมืองในอินโดนีเซียไม่ต่ำกว่า 90 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 74 เหรียญสหรัฐ/ตัน

และหากราคาถ่านหินทรงตัวในระดับปัจจุบัน โดยคาดว่าไตรมาส 2/54 ราคาน่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไป เนื่องจากราคาถ่านหินในตลาดโลกขณะนี้อยู่ที่ 120 เหรียญสหรัฐ/ตัน ดังนั้น คาดว่าราคาขายถ่านหินเฉลี่ยในไตรมาส 2/54 น่าจะสูงกว่าไตรมาส 1/54 ที่อยู่ในระดับ 87 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามราคาในตลาดโลก

"คาดไตรมาส 2, 3, 4 ราคาถ่านหินจะค่อยๆขยับสูงขึ้นไปอีก ไม่น่าห่วง 90 เหรียญสหรัฐต่อตัน น่าจะได้เห็น ซึ่งปัจจัยหนุนราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศ ปัญหาน้ำท่วมในออสเตรเลีย และจีนยังต้องนำเข้าถ่านหินสูงต่อเนื่องชัดเจน" นางสมฤดี กล่าว

ขณะที่ไตรมาส 2/54 คาดว่าปริมาณการขายถ่านหินสูงกว่าไตรมาส 1/54 เล็กน้อย โดยมาจากเหมืองอินโดนีเซีย 6.2 ล้านตัน เหมืองออสเตรเลีย 3.5-4 ล้านตัน ขณะที่คาดว่าปริมาณการขายถ่านหินครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงหน้าแล้งสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการผลิตและขนส่งถ่านหิน

ส่วนเหตุการณ์ภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น นางสมฤดี กล่าวว่า ความต้องการใช้ถ่านหินโดยรวมในปีนี้อาจจะลดลง 3-4 ล้านตัน ถือว่าไม่รุนแรงมาก แต่ครึ่งปีหลังคาดว่าญี่ปุ่นจะเริ่มการก่อสร้าง ฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้เหล็ก ซีเมนต์ ถ่านหินจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ในปี 54 บริษัทตั้งเป้ามีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 42-45% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 40% เนื่องจากราคาขายที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันต้นทุนบริษัทก็มีเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลในประเทศอินโดนีเซียสูงขึ้น ซึ่งกระทบการผลิต เพราะราคาผันแปรตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่บริษัทมีการทำ hedging น้ำมันไว้บางส่วน เพื่อสร้างความสมดุล ทำให้ไม่ให้ส่งผลกระทบมากนัก

นางสมฤดี กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งงบลงทุน 5 ปี (ปี 54-58) เพิ่มเติมเพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจเหมืองที่ออสเตรเลีย จำนวน 589 ล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยเงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดของเหมืองในออสเตรเลีย โดยบริษัทไม่ต้องเพิ่มทุนอีก ซึ่งในปีนี้เหมืองออสเตรเลียจะมีปริมาณถ่านหิน 16 ล้านตัน และจะเพิ่มเป็น 19.6 ล้านตัน ในปี 58

ส่วนงบลงทุน 5 ปีเดิมเฉพาะของบริษัทอยู่ที่ 230 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่บริษัทยังเตรียมออกหุ้นกู้วงเงิน 10,000 ล้านบาทในช่วงปลายไตรมาส 2/54 หรือต้นไตรมาส 3/54 ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีหนี้จำนวน 90,000 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ยลอยตัว 76% ของมูลหนี้ ซึ่งในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จึงมีแนวคิดจะลดสัดส่วนหนี้ดอกเบี้ยลอยตัวให้เหลือ 50% ของมูลหนี้ ส่วนหนึ่งจะเป็นการออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้ดังกล่าว

ทั้งนี้ การปรับสัดส่วนหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยคงที่มากขึ้น ทำให้บริษัทสามารถคาดการณ์การบริหารทางการเงินได้เกี่ยวกับข้อผูกพันของภาระดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันบริษัท D/E อยู่ที่ 0.98 เท่า และรอรับรู้รายได้จากเหมืองถ่านหินที่ต้าหนิง ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะนำไปชำระคืนหนี้เดิม หรือนำไปลงทุนในเหมืองใหม่ๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ