บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เป็นระดับ “AA-" จากเดิมที่ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปเน้นผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ ตลอดจนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากยอดขายและกำไรสุทธิที่เติบโตตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย การขยายสู่ธุรกิจอาหารพร้อมบริโภคภายใต้ตราสัญลักษณ์ “CP" และต้นทุนที่ลดลงจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทที่ค่อนข้างต่ำ รวมถึงความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอาหารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเอาไว้ได้ ทั้งนี้ การที่บริษัทให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคน่าจะช่วยลดความผันผวนจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของบริษัทได้ ในขณะที่ความได้เปรียบจากการเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย รวมทั้งการประหยัดจากขนาดคาดว่าน่าจะช่วยทำให้บริษัทมีผลกำไรที่สม่ำเสมอมากขึ้น
CPF เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวถือเป็นธุรกิจหลักของเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วย โดย ณ เดือนมีนาคม 2554 กลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ถือหุ้นในบริษัท 42.14% ธุรกิจของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือกลุ่มสัตว์บกและกลุ่มสัตว์น้ำ โดยแต่ละกลุ่มประกอบด้วยธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจฟาร์ม และธุรกิจอาหารพร้อมบริโภค การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทได้มาตรฐานสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับซึ่งสามารถส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้าหลักซึ่งได้แก่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป เอเชีย และประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี 2553 CPF มีรายได้จากธุรกิจฟาร์มคิดเป็น 43% ของยอดขายรวม รองลงมาเป็นธุรกิจอาหารสัตว์ 39% และธุรกิจอาหารพร้อมบริโภค 18% เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเพื่อสร้างเสถียรภาพของกระแสเงินสด บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารพร้อมบริโภคให้เป็น 1 ใน 3 ของยอดขายจากกิจการประเทศไทย และเป็น 10% ของยอดขายจากกิจการต่างประเทศภายในปี 2557 และลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจฟาร์มซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ลง นอกเหนือจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายแล้ว บริษัทยังขยายกิจการในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องอีกหลายแห่งเนื่องจากโอกาสในการเติบโตมีสูงกว่ากิจการในประเทศไทย โดยสัดส่วนรายได้จากกิจการในต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นจาก 19% ของยอดขายรวมในปี 2552 เป็น 26% ของยอดขายรวมในปี 2553 ซึ่งมาจากยอดขายในประเทศไต้หวัน อินเดีย และมาเลเซียเป็นหลัก บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกิจการในต่างประเทศเป็น 40% ของยอดขายรวมในปี 2557
ฐานะการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยในปี 2553 บริษัทมียอดขาย 189,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% จากปี 2552 เนื่องจากมีการรวมยอดขายจากกิจการในประเทศไต้หวันที่ซื้อมาเมื่อปลายปี 2552 โดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังอยู่ในระดับสูงที่ 17.3% ในปี 2553 แม้ว่าจะปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 17.7% ในปี 2552 และบริษัทยังมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 33.1% เป็น 13,563 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งเป็นผลจากความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบในขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นจากการขาดแคลนอุปทานเนื้อสัตว์ในประเทศ ประกอบกับที่ผลประกอบการของธุรกิจกลุ่มสัตว์น้ำของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 ยังเติบโตต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 45,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2553 อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิซึ่งไม่รวมกำไรจากการขายเงินลงทุนลดลง 13.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2553 เป็น 2,786 ล้านบาท เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในประเทศมีราคาต่ำกว่าปีที่แล้วและมีผลขาดทุนจากกิจการในประเทศตุรกี แม้ต้นทุนวัตถุดิบธัญพืชจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่บริษัทได้จัดซื้อและจัดหาวัตถุดิบดังกล่าวเอาไว้แล้วล่วงหน้าเป็นส่วนใหญ่
สำหรับปี 2554 เหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในช่วงต้นปี 2554 ส่งผลให้พื้นที่เลี้ยงสัตว์โดยรวมทั้งสัตว์บกและกุ้งได้รับผลกระทบ ทำให้คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ในประเทศจะยังคงอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2554 นี้ ในระหว่างปี 2554-2556 บริษัทมีความต้องการใช้เงิน 8,000-10,000 ล้านบาทต่อปีเพื่อลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและขยายธุรกิจในต่างประเทศ จากการมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 15,000-20,000 ล้านบาทต่อปีจึงคาดว่าบริษัทจะจัดหาเงินลงทุนดังกล่าวจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 44.34% โดยเพิ่มขึ้นจาก 43.29% ในปี 2553