นายวุฒิ อัศวเสริมเจริญ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบัญชีการเงิน และนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) กล่าวว่า กำไรในปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 600 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีกำไรประมาณ 520 ล้านบาท ส่วนรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 9.6-9.7 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปี 53 ซึ่งมีรายได้ 8.4 พันล้านบาท โดยเป็นการเติบโตจากทุกหน่วยธุรกิจ
แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/54 คาดว่ารายได้จะดีกว่าไตรมาส 1/54 ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล และมีภาพยนตร์ใหม่เข้าฉายเรื่อง"ลัดดาแลนด์"ทำรายได้แล้ว 130 ล้านบาท
"ครึ่งปีแรกมองว่าการเติบโตค่อนข้างดี หลังการบริหารต่างๆดีขึ้น ต้นทุนในการทำงานต่างๆก็ลดลง"นายวุฒิ กล่าว
บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ 600-700 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการเปิดสถานีทีวีดาวเทียมช่องใหม่ ธุรกิจภาพยนตร์ รวมทั้งการลงทุนลิขสิทธิ์กีฬา โดยครึ่งปีหลังเตรียมเปิดทีวีดาวเทียมเพิ่ม 5 ช่อง โดย 3 ช่องแรกเป็นรายการเกี่ยวกับกีฬา มีทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และ sport action ส่วนอีก 2 ช่องเป็นรายการเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ และ ครึ่งปีหลังจะมีภาพยนตร์เข้าฉายอีก 3 เรื่องจากต้นปีที่ฉายไปแล้ว 2 เรื่อง
ทั้งนี้ การลงทุนช่องทีวีใหม่ ลงทุนประมาณ 50-70 ล้านบาท/ช่อง ส่วนภาพยนตร์ใหม่ มีการใช้เงินลงทุนประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อเรื่อง
เดือน เม.ย.ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดทีวีดาวเทียมใหม่ 3 ช่อง ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร ได้แก่ Play Channel, JKN Chnnel และ JSL Channel ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนบริษัทได้ใช้เงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เป็นการลงุทนทีวีดาวเทียม 3 ช่อง, ลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร และ ลงทุนหุ้น บมจ.ออฟฟิศเมท(OFM)
นายวุฒิ ยังกล่าวว่า ปัจจบัน บริษัทได้เข้าไปถือหุ้น OFM แล้ว 5%ของทุนจดทะเบียน และบริษัทยังเข้าไปหารือกับผู้บริหารเพื่อขอซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ทั้งนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยวัตถุประสงค์การเข้าลงทุนครั้งนี้ เป็นการขยายการลงทุนและเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายให้กับธุรกิจของบริษัท
"การซื้อก็มีการคุยกันอยู่ แต่ ณ วันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งเขาก็ยินดีเปิดทางให้เราถือเพิ่ม ส่วนเราก็ยินดีที่จะเข้าไปเหมือนกัน แต่ต้องขอดู synergy การทำงานในช่วงนี้ก่อน คาดว่าข่วง 3-6 เดือนน่าจะชัดเจนขึ้น"นายวุฒิ กล่าว
นายชาญชัย พันธุ์โสภา รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจ GRAMMY กล่าวว่า บริษัทจะมีการลงทุนด้านกีฬามากขึ้นหลังจากเข้าซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลยูโรระหว่างปี 54-56 โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะเปิดข้อมูลได้ และในอนาคตจะมีการบริหารนักกีฬาเหมือนกับธุรกิจบริหารศิลปิน
"เราคงไม่ได้เข้าไปเป็นเจ้าของกิจการ เนื่องจากว่าการจะผิดจรรยาบรรณการทำธุรกิจ โดยเราจะเข้าไปทำธุรกิจที่ขัดกับธุรกิจที่เราทำอยู่ ซึ่งการดูแลนักกีฬาอยู่ในระหว่างการวางแผน คาดว่าไตรมาส 3/54 จะพูดอะไรได้ชัดเจนขึ้น"นายชาญชัย กล่าว