ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าหมายที่จะพยายามรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ(NIM)ปี 54 ไว้ที่ 3.2% แม้จะมีแนวโน้มลดลง
ในส่วนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(เทนเดอร์ ออฟเฟอร์)หุ้นทั้งหมดของ บง.สินอุตสาหกรรม(SICCO) มั่นใจว่า ไม่กระทบต่อกำไรและเงินกองทุนของธนาคาร พร้อมทั้งยอมรับว่ามีแผนจะนำ บล.ซิกโก้ (SSEC) เข้าควบรวมกิจการกับ บล.ไทยพาณิชย์
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCB กล่าวว่า ในไตรมาส 1/54 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารเติบโตได้ดีมากถึง 20% ซึ่งดีกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ แต่ยังต้องระมัดระวัง เนื่องจากฐานการปล่อยสินเชื่อช่วงครึ่งแรกของปี 53 อยู่ในระดับต่ำ แต่ช่วงครึ่งปีหลังมีฐานสูงขึ้น
แต่ทั้งนี้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วงที่ผ่านมากระจายตัวในทุกกลุ่มทั้งสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อ corporate และสินเชื่อเอสเอ็มอี ดังนั้น ในปีนี้คาดว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารยังเติบโตได้ถึง 15% สูงกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ที่ส่วนใหญ่คาดว่าจะเติบโตราว 8-10%
นางกรรณิกา กล่าวว่า สำหรับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ(NIM)ในไตรมาส 1/54 อยู่ที่ 3.14% ลดลงจาก 3.2% ณ สิ้นปี 53 แม้จะเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาเพื่อแย่งชิงเงินฝาก ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ขณะที่ธนาคารจะไม่ได้ผลักภาระต้นทุนให้ลูกค้าเงินกู้ ทำให้ NIM มีแนวโน้มลดลงทั้งระบบไม่ใช่เฉพาะ SCB
ดังนั้น ในปีนี้ธนาคารจะพยายามรักษาระดับ NIM ให้อยู่ระดับเดียวกับสิ้นปี 53 และแม้รายได้จากดอกเบี้ยจะลดลงก็ตาม แต่ธนาคารได้เพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยมากขึ้นเพื่อชดเชยกัน โดยตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 20% ดังนั้นปีนี้กำไรสุทธิของธนาคารก็น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง
"สมัยนี้การแข่งขันสูงมาก เพราะทุกคนก็ตัดโน่นตัดนี่เพราะไม่อยากเสียลูกค้า ทำให้ NIM ไม่สูง และระยะยาวยังจะลดลงอีก ทำให้เราหันไปหารายได้อื่นๆ...การแข่งขันแย่งเงินฝากที่มีอยู่สูงแต่เราก็ไม่ผลักภาระให้ลูกค้า ทำให้เราหันไปหารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยมากขึ้น ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะมีรายได้ค่าธรรมเนียมมากกว่า 45%ภายในปีนี้หรือปีหน้า โดยรายได้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 55% เพื่อสร้างความสมดุลของสัดส่วนรายได้" นางกรรณิกา กล่าว
สำหรับ NPL ตั้งเป้าลดลงเหลือต่ำกว่า 2.9% โดยมาจากการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการหนี้เสีย ซึ่งปัจจุบันระดับการเกิดหนี้เสียของกลุ่ม SCB มีน้อยมาก และยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในทุกไตรมาส ประกอบกับ ภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ลูกค้าไม่มีปัญหาเรื่องการค้างชำระหนี้ และธนาคารมีการควบคุมความเสี่ยงได้ดีด้วย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCB กล่าวถึงการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์(เทนเดอร์ออฟเฟอร์)เพื่อซื้อหุ้น SICCO ขณะนี้ยังเหลือ 2 ขั้นตอน คือนำเรื่องดังกล่าวขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นธนาคาร และ SICCO ซึ่งการซื้อหุ้น SICCO จากนักลงทุนรายย่อยครั้งนี้ธนาคารประกาศแผนดำเนินการทุกขั้นตอนเพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นดังกล่าวจะไม่กระทบต่อกำไรและเงินกองทุนของธนาคาร เนื่องจากมีมูลค่าการเข้าซื้อไม่มาก
และหลังจากนั้นธนาคารจะต้องทำเทนเดอร์ฯ เพื่อซื้อ SSEC ด้วย โดยยอมรับว่ามีแผนจะนำมาควบรวมกิจการกับ บล.ไทยพาณิชย์ ส่วนใบอนุญาตประกอบธุรกิจจะมีการขายต่อหรือคืนใบอนุญาต และการดำเนินการในรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องนี้ยังไม่มีการพิจารณา แต่ขอรอให้กระบวนการซื้อหุ้น SICCO เสร็จสิ้นก่อน