นายบุญยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ในปี 54 ได้ตั้งเป้ารายได้ในเครือสหพัฒน์โต 15-20% ซึ่งเป็นการตั้งเป้าเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตได้ดีมาก และครึ่งปีหลังคาดว่ายังจะเติบโตต่อเนื่องและเมื่อมีการเลือกตั้งจะยิ่งทำให้เกิดเงินสะพัด อีกทั้งเชื่อว่าภายหลังการเลือกตั้ง การเมืองจะไม่วุ่นวาย โดยจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ เพราะทุกคนเห็นปัญหาความวุ่นวายที่ผ่านมาและไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก
"เศรษฐกิจไทยปีนี้เหมือนรถไฟด่วนพิเศษ คือมีการเติบโตดีมาก และยังมีการเลือกตั้ง ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคเติบโตดี และกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 100% ในหลายๆสินค้าของเครือสหพัฒน์ แต่ขณะเดียวกันต้นทุนก็เพิ่มขึ้น แต่เรายังไม่ปรับราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าหลักอย่าง มาม่า " นายบุญยสิทธิ์ กล่าว
สำหรับต้นทุนสินค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นสินค้าทีเกี่ยวข้องกับเกษตร ส่วนสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องสำอาง ต้นทุนไม่ปรับขึ้นมากนัก ทั้งนี้ส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นทุนบริษัทเพิ่มคือ ค่าแรง ที่ปรับเพิ่มสูง ยิ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัท แต่บริษัทยังคงแบกรับภาระไว้ ยอมรับว่าก็มีความกังวลว่าหลายพรรคการเมืองออกมาชูนโยบายหาเสียงเรื่องปรับขึ้นค่าแรง ถ้าเป็นจริงจะส่งผลต่อต้นทุน และนโยบายประชานิยมจะส่งผลในอนาคตและสร้างความเคยชินให้กับประชาชน หากรัฐบาลไหนไม่ทำก็อาจจะมีปัญหาได้
สำหรับกรอบการค้าเสรีของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นายบุญยสิทธิ กล่าวว่า การค้าการลงทุนในประเทศต้องปรับตัวรองรับการเปิดเสรีดังกล่าว โดยสหพัฒน์มีรายได้จากการส่งออก 30% และยังมีการเจรจาร่วมทุนขนาดใหญ่ แต่ยังไม่มีข้อสรุป คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ ต้องการให้ภาครัฐดูแลเรื่องนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เพราะมองว่าค่าเงินบาที่อ่อนตัวส่งผลดีต่อการบริหารจัดการ รวมทั้งการส่งออกของไทย ขณะนี้การส่งออกปัจจุบันได้ลดสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐ และยุโรป แต่ส่งออกในเอเชียแทน ซึ่งเห็นว่าไทยมาถูกทางแล้ว เพราะในเอเชียมีอัตราการเติบโตสูง และแนะนำว่าควรจะส่งออกไปจีนให้มากขึ้น