บมจ.โพลีเพล็กซ์(ประเทศไทย)(PTL) คาดในปี 54 บริษัทจะมีกำไรสุทธิต่ำกว่าปี 53 ที่กำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดดถึง 273%เป็น 3.88 พันล้านบาท เนื่องจกาเกิดภาวะขาดแคลยซัพพลายอย่างหนัก ขณะที่รายได้ในปีนี้จะเติบโต 4-5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท หรือ เติบโต 56.9% จากปีก่อนที่บริษัทสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงถึง 50% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)ระดับ 35%
"ปี 53 เป็นปีที่ผิดปกติ และคิดว่าคงอีกหลายปีกว่าจะเหตุการณ์แบบนี้อีก โดยสภาพตลาดขาดซัพพลายมาก ขณะที่ด้านดีมานด์มีมากตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงเกิดภาวะที่ไม่สมดุลกัน"ผู้บริหาร กล่าว
นายโรฮิท วาฮิททรา กรรมการผู้จัดการ PTL กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"กล่าวว่า เหตผลสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการปีนี้ไม่ได้ดีต่อเนื่องเหมือนปีที่แล้ว เพราะตลาดแผ่นฟิล์มได้กลับมาสู่ภาวะสมดุลทั้งด้านดีมานด์และซัพพลายเติบโตใกล้เคียงกัน โดยคาดว่าปีนี้ความต้องการในตลาดแผ่นฟิล์มเติบโต 9-10% ต่างจากปีก่อนที่ซัพพลายขาดแคลนมาก เนื่องจากผู้ประกอบการหยุดขยายกำลังการผลิตในช่วงเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ นอกจากนี้ บริษัทยังไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในปีนี้
ดังนั้น ปีนี้บริษัทจึงพยามยามรักษา Net Profit Margin ให้ได้ระดับ 13-14% ซึ่งเป็นระดับที่เคยทำได้ในปี 51 ซึ่งอยู่ในภาวะปกติ หรืออาจจะทำได้ดีกว่านั้น เพราะบริษัทจะเน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่ ฟิล์มซิลิคอน ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ในปลายไตรมาส 3/54
"ปีที่แล้วตลาดผิดปกติ (abnormal) เพราะผู้ประกอบการไม่ได้มีการขยายการลงทุนรวมถึงเราด้วยในปี 2009 (ปี 52) ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ขณะนั้น ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ...แต่ปีนี้ดีมานด์ซัพพลายเข้าสู่ภาวะปกติ ราคาขายมีการปรับลดลงจากปีที่แล้ว"นายวาฮิททรา กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิปี 54 น่าจะใกล้เคียงในปี 51 ที่มีกำไรสุทธิ 1.04 พันล้านบาท
*วางแผนเพิ่มการผลิตใน 3-5 ปี
กรรมการผู้จัดการ PTL กล่าวว่า บริษัทได้วางแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มในไทยภายใน 3-5 ปี โดยแนวโน้มจะมีการลงทุนในสายการผลิตแผ่นฟิล์มบาง และฟิล์มเคลือบลามิเนต โดยปัจจุบันกำลังการผลิตในไทยมีจำนวน 4.2 หมื่นตัน ทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการแผ่นฟิล์มในช่วง 5 ปีนี้(เริ่มปี 54)ที่คาดว่าจะเติบโตปีละ 9-10% ขณะที่ผู้ผลิตแผ่นฟิล์ม PET ในไทยยังมีน้อยรายอยู่ โดย PTL ถือเป็นรายใหญ่ในประเทศ
รวมทั้งจะหันมาผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม รองรับความต้องการกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนแผนการขยายการลงทุนในประเทศใหม่ ๆ นั้น บริษัทยังไม่ตัดสินใจในขณะนี้ แต่กำลังมองพื้นที่ที่เห็นว่าเหมาะสมเข้าไปลงทุน ได้แก่ จีน ประเทศแถบละตินอเมริกา เป็นต้น เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง
ล่าสุด บริษัทได้ลงทุนในสหรัฐอเมริกา มูลค่า 75 ล้านเหรีญสหรัฐ เป็นการผลิตแผ่นฟิล์ม PET ชนิดบาง มีกำลังการผลิต 3.1 หมื่นตันต่อปี และแผ่นฟิล์มเคลือบอลูมิเนียม มีกำลังการผลิต 8.6 พันตันต่อปี คาดว่าในปี 56 จะเริ่มการผลิตได้
นายวาฮิททรา ให้เหตุผลว่าการเข้าลงทุนในสหรัฐฯนั้นเพราะมีความต้องการสูง และบริษัทก็มีความใกล้ชิดกับลูกค้าสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการส่งออกไปสหรัฐฯ
"เราเห็นว่าตลาดสหรัฐฯมีการเติบโตที่ดี และเห็นว่าใกล้กลุ่มลูกค้า จะช่วยให้การบริหารลูกค้าและขายสินค้าได้หลากหลายตรงกับความต้องการ"กรรมการผู้จัดการ PTL กล่าว
นอกจากนี้ การลงทุนผลิตแผ่นฟิล์ม PET ชนิดหนาที่บริษัทลงทุน 75 ล้านเหรียญสหรัฐในไทย มีกำลังการผลิต 2.8 หมื่นตันต่อปีคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 3/56 ดังนั้น คาดว่าในปี 57 บริษัทจะกลับมามีรายได้และกำไรสูงสุดอีกครั้ง เมื่อขยายกำลังการผลิตตามแผน และเดินเครื่องผลิตเต็มที่ 100%
ปัจจุบัน โพลีเพล็กซ์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ในอินเดีย ถือ หุ้น 16.5% และ โพลีเพล็กซ์ (เอเชีย) (โพลีเพล็กซ์คอร์ปฯถือ 100%) ถือ 34.5% รวมแล้วบริษัทแม่ถืออยู่ 51% ของทุนจดทะเบียน