ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 มิ.ย.) หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยอมรับว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากภาคการผลิตชะลอตัวลง อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบใหม่ ในขณะที่มาตรการ QE2 จะหมดอายุลงในปลายเดือนนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 19.15 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 12,070.81 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.23 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 1,284.94 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 1.00 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 2,701.56 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 3.6 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วนเกือบ 1 ต่อ 1
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงทันทีที่เบอร์นันเก้ได้กล่าวปาฐกถาในการประชุมที่เมืองแอตแลนต้าเมื่อคืนนี้ตามเวลาประเทศไทยว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากภาคการผลิตชะลอตัวลง อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐยังได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน
เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้อัตราว่างงานลดลงได้ โดยจำนวนคนว่างงานที่ไม่มีงานทำติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 27 สัปดาห์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 361,000 คน สู่ระดับ 6.2 ล้านคนในเดือนพ.ค. ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45.1% ของจำนวนคนว่างงานทั้งหมด และใกล้เคียงกับสัดส่วนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 45.6% เมื่อปีที่แล้ว
สำนักข่าวซินหัวรายงาน ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันมากขึ้น เพราะในระหว่างการแสดงมุมมองเศรษฐกิจในครั้งนี้ เบอร์นันเก้ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบใหม่ ในขณะที่มาตรการ QE2 จะหมดอายุลงในปลายเดือนนี้
หุ้นอินเตอร์เนชันแนล เปเปอร์ ปิดบวก 0.4% และหุ้นเทเพิล-อินแลนด์ ปิดทะยานขึ้น 40% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทเทมเพิล-อินแลนด์ ได้ปฏิเสธข้อเสนอเทคโอเวอร์กิจการมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์จากอินเตอร์เนชันแนล เปเปอร์ ส่วนหุ้นเคเบิลวิชัน ซิสเต็มส์ คอร์ป ปิดบวก 4.5%
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book
วันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนเม.ย.และข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนเม.ย. นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ค. และกระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยงบประมาณของรัฐบาลกลางเดือนพ.ค.