TPOLY เผยได้ 2 งานใหม่ดัน backlog ทะลุ 4.4 พันลบ.,ลุยอสังหาฯแนวราบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 8, 2011 09:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเจริญ จันทร์พลังศรี กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทยโพลีคอนส์ (TPOLY) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรอเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการจากที่ชนะงานประมูลโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 1,240 ล้านบาท และทำให้ล่าสุดได้สร้างสถิติใหม่สะสม Backlog ในมือทะลุ 4,400 ล้านบาทเป็นครั้งแรก

ส่วน 6 เดือนที่เหลือหลังจากนี้คาดว่าจะเข้ายื่นประมูลงานอีกมูลค่าไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับงานไม่ต่ำกว่า 20% ของงานที่ยื่นประมูลทั้งหมด

นายเจริญ คาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/54 จะเติบโตได้อย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 53 และมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปี 54 ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นงานที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น สะท้อนให้ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นในทิศทางเดียวกันด้วย

"คาดว่าไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะเป็นอีกไตรมาสที่ TPOLY เติบโตได้อย่างโดดเด่นทั้งรายได้และกำไรสุทธิ เพราะเป็นการรับรู้รายได้จาก Backlog ซึ่งเป็นงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีที่จ่ายในอัตราที่ต่ำกว่าโครงการปกติประมาณ 3% จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นด้วย และน่าจะสะท้อนให้กำไรสุทธิดีตามไปในทิศทางเดียวกัน" นายเจริญ กล่าว

พร้อมระบุว่า ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจผ่านทางบริษัท ทีโพลี่ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทฯ มีแผนจะเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบใหม่จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 200 ล้านบาท ภายในปลายปี 54 ถือเป็นโครงการนำร่องเป็นโครงการแรก และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี 55

ในขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในเร็วๆ นี้ โดยโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกขนาด 9.5 เมกกะวัตต์ ใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ในระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง ส่วนแห่งที่สองที่ดำเนินธุรกิจผ่าน บริษัท ช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ จำกัด (CR) ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช คาดว่าจะสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ในไตรมาส 3 ตามกำหนดการที่วางไว้ได้ และคาดว่าในปีนี้จะเปิดได้ครบทั้ง 3 แห่ง ตามแผนงานที่วางไว้เช่นเดียวกัน

"การขยายธุรกิจเข้าสู่กลุ่มโรงไฟฟ้าชีวมวลและอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการเป็นการสานต่อนโยบายเพิ่มรายได้และกำไรสุทธิและเพิ่มกระแสเงินสดที่มั่นคงให้กับบริษัทฯในระยะยาว เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าได้รับสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้าระยะยาวเป็นเวลา 25 ปี ต่อเนื่องอัตโนมัติทุกๆ 5 ปี จากภาครัฐ ประการสำคัญทั้งสองธุรกิจถือว่ามีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง ซึ่งจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯปรับตัวดีขึ้นด้วย"นายเจริญ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ