นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเม้นท์ (ITD)เปิดเผยว่า โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในพม่ากำลังหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและหาแหล่งระดมเงินทุนระหว่างประเทศ คาดว่าภายใน 3 เดือนนี้จะได้ข้อสรุปวงเงินลงทุน ซึ่งเบื้องต้นเชื่อว่าคงไม่ถึง 4 พันล้านเหรียญที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้
"เราจะทำ financial ให้จบภายในปีนี้จะกู้เงินจากองค์กรนานาชาติจะได้ term ยาว และต้นทุนไม่แพงเพื่อเอาไปก่อสร้างท่าเรือถนนทางรถไฟให้เสร็จใน 4 ปี(2012-2015)"นายเปรมชัย กล่าว
ทั้งนี้ งานก่อสร้างในโครงการทวายจะเริ่มในปีหน้า ซึ่ง ITD จะเริ่มรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างได้ทันที
นอกจากนั้น ขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้ตอบรับที่จะรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 3,600 เมกะวัตต์ในโครงการทวายแล้ว โดยระหว่างนี้กำลังเจรจาเรื่องค่าไฟฟ้าและเงื่อนไข ซึ่งเมื่อเริ่มก่อสร้างก็จะเชิญชวนบริษัทต่าง ๆ เข้ามาร่วมทุน ขณะนีมีบริษัทที่แสดงสนใจ ได้แก่ บมจ.ปตท อินเตอร์ฯ, บมจ.ผลิตไฟฟ้า(EGCO), บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH)
โครงการทวายมีพื้นที่ 2 แสนไร่อยู่ติดกับด้านตะวันตกของไทย ซึ่งเป็นที่ดินเช่าอายุ 75 ปี โดยบริษัทได้จัดตั้ง บริษัท Dawei Development company limited(DDC) ซึ่ง ITD ถือหุ้น 100% เข้าบริหารจัดการและพัฒนาโครงการทวาย ดังนั้น บริษัทจะเปิดกว้างพันธมิตรเข้าถือหุ้นใน DDC
รวมไปถึงแต่ละโครงการที่อยู่ภายใต้โครงการนิคมอุตสาหกรรมทวายด้วย ได้แก่ โรงผลิตเหล็กที่มีแผนจะเปิดผลิตเหล็กรีดร้อนกำลังการผลิต 6 ล้านตัน/ปี เพราะมีแหล่งวัตถุดิบพร้อม โรงงานผลิตปุ๋ย โรงกลั่นน้ำมันที่มีขนาดกำลังการกลั่น 1 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งมีบริษัทไทยหลายแห่งและทางอินโดนีเซียสนใจ อีกทั้งโรงงานปิโตรเคมี
"เรายอม suffer วันนี้แต่จะสดใสในอนาคต ตอนนี้ทำให้มีค่าใช้จ่ายมาก"นายเปรมชัย กล่าว
ด้านนายชาติชาย ชุติมา รองประธานบริหารด้านการเงิน ITD คาดว่า กำไรสุทธิในปี 54 จะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 297.9 ล้านบาท เพราะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนถนนและท่าเรือชั่วคราวในโครงการทวายประมาณ 100-200 ล้านบาท และการรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างล่าช้า "กำไรปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้วเพราะเรามีค่าใช้จ่ายในโครงการทวายที่ต้องลงทุนไปก่อน แต่คิดว่าปีหน้าดีขึ้นเพราะหลายๆงานก็เริ่มเข้ามา" นายชาติชายกล่าว ทั้งนี้ การก่อสร้างในโครงการทวายจะเริ่มได้ในไตรมาส 2/55 ขณะที่ปีนี้ มีงานในมือแล้วประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยสัปดาห์หน้าจะมีการลงนามการปรับปรุงทางรถไฟจำนวน 8 พีนล่านบาทและเพิ่งเซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีนำเงิน ทั้งสองงานจะเริ่มดำเนินการได้ไตรมาส 3-4/54 และยังรอเปิดซองราคาสายสีแดงบางซื่อ-รังสิตและสายสีเขียว ส่วนงานต่างประเทศ หลักๆอยู่ที่อินเดีย มีงานรวมประมาณ 2หมื่นล้านบาท ได้แก่ งานสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินกัลการ์ตา สนามบินกัลการ์ตา รถไฟลอยฟ้าบังกะลอร์ รถไฟลอยฟ้า jaipur นายชาติชาย ระบุว่า ในปีนี้ยังไม่มีความจำเป็นเพิ่มทุน เพราะรอการขายหุ้นเพิ่มทุน บริษัท DDC ที่บริษัทถือหุ้น 100% โดยบริษัทได้ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ตีมูลค่าขายหุ้น DDC จากที่ DDC มีที่ดิน 2 แสนไร่ที่มีอายุการเช่า 75 ปี ขณะเดียวกันในสัปดาห์หน้าจะเริ่มโรดโชว์โครงการทวายที่ญี่ปุ่น จากนั้นไป จีน เกาหลี อินเดีย เพื่อหาผู้ร่วมทุน DDC คาดว่าจะเปิดขายและทำรายการได้ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งบริษัทจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้นดังกล่าว "เรากำลังbalance เงินทุนถ้าเรารีบมากก็ต้องจ่ายก่อน...ถ้าหากเราหาพาร์ทเนอร์ได้ก็ไม่ต้องเพิ่มทุน" นายชาติชายกล่าว ปัจจุบัน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน อยู่ที่1.9 เท่า นายชาติชาย กล่าวถึง โครงการโปแตซ มูลค่าลงทุน 800 ล้านเหรียญว่า บริษัทเตรียมขายหุ้น 15% ออกไปจากที่ถืออยู่ 90% โดยให้ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเริ่มกระบวนการซื้อขายปลายมิ.ย.คาดว่าจะสรุปการขายได้ในปลายปีนี้