บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์(BJC)เผยศึกษาแผนเพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายกิจการและช่วยเพิ่มสภาพคล่องหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์(ฟรีโฟลต) โดยมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเพิ่มทุนปลายปีนี้ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะซื้อกิจการศูนย์กระจายสินค้าในต่างประเทศ 1 แห่งคาดว่าจะสามารถสรุปการเจรจาได้ในปีนี้
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอรี่ ยุคเกอร์ (BJC) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าภายในสิ้นปี 54 จะเห็นการเข้าซื้อกิจการศูนย์กระจายสินค้าในต่างประเทศ 1 แห่ง ซึ่งเป็น 1 ในหลายดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจา และมีเป้าหมายที่จะซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจ โดยคาดว่าดีลนี้จะใช้เงินลงทุนไม่มากนัก
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งหากประสบความสำเร็จ บริษัทอาจจำเป็นต้องมีการเพิ่มทุนเพื่อนำเงินมาใช้ในการลงทุน และยังเป็นผลดีช่วยเพิ่มฟรีโฟลตหุ้นของบริษัทด้วย จากปัจจุบันมีฟรีโฟลตอยู่ที่ 17% ขณะที่ตามเกณฑ์กำหนดที่ 20% รวมถึงมีเป้าหมายที่จะให้หุ้น BJC เข้าไปอยู่ใน SET50
นายอัศวิน กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการใหม่จะเน้นตลาดอินโดจีนในช่วง 2-3 ปีนี้ หลังจากมีฐานการเข้าร่วมทุนสร้างโรงงานกระป๋องในประเทศเวียดนามแล้ว ส่วนตลาดในอินโดนีเซีย คงเป็นแผนการในอนาคต
"ตอนนี้เราศึกษาการเพิ่มทุนอยู่ ซึ่งหวังลึกๆ ว่าการเพิ่มทุนน่าจะเห็นภายในปีนี้ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจำนวนมาก...จริงๆแล้วเรากู้เงินได้ แต่การเพิ่มทุนจะช่วยเราได้หลายอย่าง จึงต้องทำ โดยต้องไม่กระเทือนผู้ถือหุ้น ไม่ให้ dilute มากเกินไป" นายอัศวิน กล่าว
ทั้งนี้ จากแผนการขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนยอดขายต่างประเทศของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี มียอดขายต่างประเทศ 50% ขณะที่สิ้นปี 54 คาดว่าจะอยู่ที่ 15% จากไตรมาส 1/54 อยู่ที่ 12%
และในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนจำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบลงทุนปกติ ไม่รวมการซื้อกิจการใหม่
นายอัศวิน กล่าวว่า บริษัทจะพยายามตรึงราคาสินค้าต่อไป แม้ขณะนี้ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น แต่บริษัทจะพยายามบริหารต้นทุน เพื่อรักษาระดับราคาเดิมใว้ให้นานที่สุดไม่ให้กระทบผู้บริโภค ซึ่งในไตรมาส 2-3/54 คาดว่าต้นทุนคงยังไม่สูงมาก เพราะราคาน้ำมันยังทรงตัว ดังนั้น บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายปีนี้เติบโต 15% จากปีก่อนที่มียอดขาย 26,000 ล้านบาท
สำหรับการร่วมทุนกับตั้งโรงงานผลิตกระป๋องในประเทศเวียดนาม คาดว่า ภายใน 2 ปี จะมีรายได้จากเวียดนามเพิ่มอีก 4-5% คิดเป็นปริมาณขาย 400 ล้านกระป๋อง/ปี หรือคิดเป็นมูลค่า 1,200 ล้านบาท และภายใน 4 ปี ยอดขายจะเพิ่มเป็น 850 ล้านกระป๋อง/ปี