โบรกฯเชียร์"ซื้อ"AMATAคาดกำไรปี 54-55 โตต่อเนื่องรับการลงทุนไหลเข้าไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 15, 2011 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ประสานเสียง"ซื้อ"หุ้นบมจ.อมตะคอร์ปอเรชั่น(AMATA)คาดกำไรในปี 54-55 เติบโตสูงตอบรับยอดขายที่ดินเฉลี่ย 2 ปีนี้ ปีละ 1,500 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 53 เนื่องจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากอุตสาหกรรมยานยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ นอกจากนี้ ภัยพิบัติในญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นทำให้เป็นตัวเร่งที่จะมีการย้ายฐานการผลิตมายังไทย

ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิของ AMATA ในปี 54 จะอยู่ในช่วง 973-1,221 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 957 ล้านบาท ส่วนปี 55 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,396-1,474 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากปีนี้

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน AMATA ได้เปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้มาเป็นรับรู้เมื่อโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้น คงจะทำให้กำไรในแต่ละไตรมาสของ AMATA มีความผันผวนได้ แต่เชื่อว่าไตรมาส 2/54 ผลประกอบการน่าจะดีขึ้น และดีขึ้นไปอีกในช่วงครึ่งหลังปีนี้จากการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/54 คาดว่ายอดขายที่ดินจะดีมาก เพราะเป็นช่วง High Season

นอกจากนั้น AMATA ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากค่าแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็คงจะต้องพิจารณาตรงนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าค่าแรงงานค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นก็จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ       ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.กสิกรไทย           ซื้อ                21.00
          บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ    ซื้อ                20.00
          บล.ยูไนเต็ด            ซื้อ                17.50
          บล.คันทรี่ กรุ๊ป       ซื้อเก็งกำไร            15.65
          บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)  ซื้อ                18.00
          บล.ฟินันเซีย ไซรัส       ซื้อ                19.50
          บล.ภัทร               ซื้อ                18.30
          บล.บัวหลวง            ซื้อ                16.80
          บล.กรุงศรีอยุธยา      เก็งกำไร             15.20

น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่า ผลกำไรของ AMATA ในปี 54-55 จะมีการเติบโตสูง โดยคาดว่ากำไรปี 54 จะเติบโต 38% มาอยู่ที่ 1,221 ล้านบาท ส่วนปี 55 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,474 ล้านบาท เติบโต 21% จากปี 54

โดยมองว่ายอดขายที่ดินเฉลี่ย 2 ปีนี้(54-55)อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเฉลี่ยน่าจะขายได้ 1,500 ไร่ ซึ่งขายที่ดินได้ดีกว่าปี 53 ค่อนข้างมาก ทั้งนี้เป็นผลจากที่ลูกค้าเริ่มกลับมา และคาดหวังผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นจะย้ายฐานการผลิตมายังไทยมากขึ้น ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นได้ประสบภัยพิบัติ

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน AMATA ได้เปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้มาเป็นรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้นคงจะทำให้กำไรในแต่ละไตรมาสมีความผันผวนได้ แต่เชื่อว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 2/54 น่าจะดีขึ้น และจะดีขึ้นไปอีกในช่วงครึ่งหลังปีนี้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่น่าจะมีมากขึ้น

ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มยอดขายนิคมฯ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่ ไตรมาส 1/54 ขายที่ดินได้ 250 ไร่ แต่ช่วงไตรมาส 4/54 คาดว่ายอดขายที่ดินจะดีมาก เพราะถือเป็นช่วง High Season โดยปกติผู้ประกอบการมักจะตัดสินใจในช่วงปลายปี

ทั้งนี้ คาดว่าปี 54 AMATA จะขายที่ได้ประมาณ 1,500 ไร่ เช่นเดียวกับปี 55 ที่คาดว่าจะขายที่ดินได้ในระดับเดียวกัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่มียอดขายที่ 1,295 ไร่ เนื่องจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากอุตสาหกรรมยานยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ ที่มีแนวโน้มเติบโตในไทย นอกจากนี้จากภัยพิบัติในญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นทำให้เป็นตัวเร่งที่จะมีการย้ายฐานการผลิตมายังไทย

พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ที่ 973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 957 ล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทฯคงมีการเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการรับรู้รายได้มาเป็นรับรู้ฯเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ ดังนั้นแม้ปีนี้จะขายที่ดินได้ดี แต่กว่าจะรับรู้ฯได้หมดก็คงเป็นปีหน้า ซึ่งมองว่าปี 55 จะมีกำไรที่เติบโตมากถึง 1,396 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี AMATA ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากค่าแรงงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็คงจะต้องพิจารณาตรงนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าค่าแรงงานค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นก็จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย

ส่วนบล.กรุงศรีอยุธยา ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น AMATA จาก"ขาย"เป็น "เก็งกำไร"แม้ว่าแนวโน้มการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันคิดเป็นเพียง 28.7% ของเป้าหมายทั้งปีของผู้บริหาร แต่การขายที่ดินหลังจากนี้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นส่งผลให้เป้าหมายยอดขายที่ดินของผู้บริหารมีความเป็นไปได้สูงขึ้น เป็นผลจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการในหลายกลุ่ม ๆ โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์

ดังนั้น ปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการปี 54-55 และ Prospective P/E สำหรับการประเมินมูลค่าพื้นฐานหุ้น AMATA ขึ้นมาที่ 20 เท่า ซึ่งอยู่ในโซนสูงสุดย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 47 (P/E ที่ 3-23 เท่า) ดังนั้นมูลค่าพื้นฐานใหม่ของหุ้น AMATA เท่ากับ 15.20 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ