นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ. ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์การออกกองทุนหุ้นให้มีสไตล์การลงทุนที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งแบ่งเป็นกองที่เน้นบริหารเชิงรับ (Passive Fund) และกองทุนบริหารเชิงรุก (Active Fund) เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นได้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเองมากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอขายพร้อมกันจำนวน 4 กองทุน จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2554
สำหรับกองทุนที่เสนอขายประกอบด้วยกองทุนที่เน้นบริหารเชิงรับจำนวน 2 กองทุน ซึ่งเป็นกองทุนประเภทกองทุนรวมดัชนีและหมวดอุตสาหกรรม คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Banking Sector (SCBBanking) มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจธนาคารของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET Energy Sector (SCBEnergy) มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด โดยทั้งสองกองทุนดังกล่าวสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 5,000 บาท
"เหตุผลที่เลือกลงทุนในหมวดธุรกิจธนาคารพาณิชย์และพลังงาน เพราะมองว่าหุ้นที่อยู่ในหมวดธุรกิจดังกล่าวเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุน เพราะจะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของปริมาณความต้องการการลงทุนภายในประเทศ และจากแนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลงมาแล้วจะมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว ซึ่งกองทุน SCBBanking และกองทุน SCBEnergy เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้น และต้องการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงต้องการบริหารพอร์ตการลงทุนเอง เนื่องจากมีการติดตามสภาวะตลาดและมีมุมมองเป็นของตนเอง" นางโชติกา กล่าว
ด้านนางสาวโศภนา เจนบวร รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับในส่วนกองทุนบริหารเชิงรุก (Active Fund) มีจำนวน 2 กองทุนเช่นเดียวกัน คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท มีนโยบายที่เน้นลงทุนหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มั่นคง ไม่เกิน 30 ตัว ที่อยู่ในSET 100 โดยจุดเด่นของกองทุนนี้คือการให้ความสำคัญกับกระบวนการคัดเลือกหุ้น และให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นรายอุตสาหกรรมและรายตัวอย่างเฉพาะเจาะจง โดยผู้จัดการกองทุนที่ชำนาญการเฉพาะด้านในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงการมีวินัยในการขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นถึงเป้าหมายที่กำหนด พร้อมทั้งการติดตามสถานการณ์การลงทุนทุกวัน เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันที
"สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกหุ้น นอกจากจะดูที่ปัจจัยพื้นฐานดีมีฐานะการเงินแข็งแกร่งแล้ว ยังมีการคาดการณ์กำไรเติบโตอย่างโดดเด่น หรือเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบัน และ มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ เรายังเน้นการหาข้อมูลเชิงรุกสำหรับการวิเคราะห์โดยการเยี่ยมชมกิจการ ประกอบกับการมีระบบฐานข้อมูลและรายงานเพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ทันเหตุการณ์" นางสาวโศภนากล่าว
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ทริกเกอร์ 7% ฟันด์ 2 (SCBTG7-2) มูลค่า 1,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท มีระยะเวลาการลงทุนระยะสั้นเพียง 7 เดือน หรืออาจปิดก่อนกำหนดหากได้ผลตอบแทน 7%ตามเป้าหมาย กลยุทธ์การบริหารกองทุนจะเน้นเชิงรุกโดยจัดสรรน้ำหนักการลงทุนและการคัดสรรหุ้น เพื่อลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีมีการเติบโตสูง ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจและการบริโภค การลงทุนในประเทศ
นางสาวโศภนา กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนในหลายด้าน ประกอบด้วยเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องประมาณ 20% ในปีนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2 คาดว่าจะราคาอยู่ในเกณฑ์ดีทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
อีกทั้งในช่วงนี้ดัชนีหลักทรัพย์ยังคงอ่อนตัวลง ราคาหุ้นพื้นฐานดีหลายตัว หลายกลุ่มธุรกิจ เผชิญแรงขายต่อเนื่องจนมีราคาถูกหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมาก ณ ระดับดัชนีราคาหุ้นลงมาใกล้ 1000 จุดนี้ จึงนับเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน เลือกซื้อทยอยสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงเป็นช่วงขาขึ้นแบบผันผวน โดยคาดว่าดัชนีราคาหุ้นฯ ยังคงขึ้นไปได้ถึงระดับ 1,200 จุด