ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์พุ่ง 109.63 จุด คาดกรีซรอดผิดนัดชำระหนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 22, 2011 06:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 มิ.ย.) ทำสถิติปิดบวกติดต่อกัน 4 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนคาดว่ารัฐสภากรีซจะลงมติรับรองรัฐบาลชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรีจอร์จ ปาปันเดรอู ซึ่งจะช่วยให้กรีซรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) ในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 109.63 จุด หรือ 0.91% ปิดที่ 12190.01 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 17.16 จุด หีอ 13.4% ปิดที่ 1295.52 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 57.60 จุด หรือ 2.19% ปิดที่ 2687.26 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 3.6 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 6 ต่อ 1

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นตั้งแต่เปิดทำการซื้อขาย และสามารถรั้งแรงบวกเอาไว้ได้จนสามารถปิดพุ่งขึ้นกว่า 100 จุด โดยหุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่งสุด อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า รัฐสภากรีซจะลงมติรับรองรัฐบาลชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรีปาปันเดรอู โดยผลการลงมติจะมีขึ้นในเวลา 05.00 น.ตามเวลาประเทศไทยในวันพุธที่ 22 มิ.ย.

ทั้งนี้ หากรัฐสภากรีซลงมติรับรองรัฐบาลชุดใหม่ ก็จะปูทางให้รัฐบาลกรีซสามารถบังคับใช้มาตรการเข้มงวดด้านการคลังเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดการรับเงินช่วยเหลืองวดใหม่จากสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะช่วยให้กรีซรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้

หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มวัสดุดีดตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งมีส่วนช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้น โดยหุ้นอัลโค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่อลูมิเนียมปิดพุ่ง 3% ทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดในบรรดาหุ้น 30 ตัวที่คำนวณในดัชนีดาวโจนส์ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับฐานขึ้นอันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชนได้มากขึ้น

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนมากขึ้นเมื่อนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทส่วนใหญ่จะยังคงแข็งแกร่ง แม้สหรัฐรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอก็ตาม รวมถึงข้อมูลด้านการผลิตและด้านแรงงาน

ผลการสำรวจของนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีทซึ่งจัดทำโดยบริษัทแฟคเซทระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าดัชนี S&P 500 จะพุ่งขึ้นอีก 14% ในช่วงไตรมาส 2

หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเรือสำราญปิดบวก 4.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นเบสท์ บาย ปิดพุ่ง 2.6% หลังจากบริษัทประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล 7%

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค.ร่วงลง 3.8% จากเดือนเม.ย. สู่ระดับ 4.81 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.80 ล้านยูนิตต่อปี

นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ไว้ที่ระดับ 0-0.25% และคาดว่าเฟดจะยังไม่ประกาศใช้มาตรการคลายเชิงปริมาณรอบสาม (QE3) หลังจากที่มาตรการ QE2 หมดอายุลงในสิ้นเดือนนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ สำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐจะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันปรจำสัปดาห์ วันพฤหัสบดี เฟดสาขาชิคาโกจะเปิดเผยดัชนีการผลิตเขตมิดเวสต์เดือนพ.ค., กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาสแรกปีนี้ และจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ