โบรกเกอร์เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.เอ็ม.ซี.เอส.สตีล(MCS)มองบริษัทฯมีศักยภาพในการเติบโตที่ดี หลังจากที่บริษัทฯได้รับใบรับรอง S-grade จากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ก้าวเข้าสู่ตลาดที่มีการแข่งขันน้อยรายมาก และยังมีโอกาสที่จะรับงานที่ให้มาร์จินสูงในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ MCS ยังมีนโยบายการกระจายฐานลูกค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่น โดยเพิ่มการลงทุนโรงงานที่เซียะเหมิน(Xiamen)อีก 70 ล้านบาทเพื่อถือหุ้นเพิ่มเป็น 80% หวังใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจในการเป็นแหล่งจัดหาวัตถุดิบ จากนั้นก็จะเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศ
อีกทั้ง MCS มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และมีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอด้วย โดยคาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้จะอยู่ในช่วง 6.1-6.5%(จ่ายปีละ 2 ครั้ง)
สำหรับผลกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/54 คาดว่าจะออกมาแข็งแกร่งต่อเนื่องไตรมาส 1/54 เนื่องจากทั้งปริมาณการส่งมอบสินค้าและราคาการส่งมอบสินค้าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน คาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ไว้ในช่วง 649-731 ล้านบาท ลดลงจากปี ก่อนที่มีกำไร 811 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิปี 53 สูงกว่าปกติเพราะบางจังหวะสามารถจัดหาวัตถุดิบได้ถูกมาก ทำให้กำไรขั้นต้นสูงผิดปกติถึง 47% ขณะที่ช่วงปกติจะมีกำไรขั้นต้นอยู่แถว 30-35% แต่ตรงนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
แม้ว่ากำไรสุทธิปีนี้จะลดลงแต่ก็ถือว่า MCS สามารถทำกำไรอยู่ในระดับที่สูง และให้ Net profit margin สูงเกือบ 20% ในปีนี้ ส่วนกำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ประมาณ 35%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 14.62 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อ 13.50 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 13.00 บล.ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 13.00 บล.เคที ซีมิโก้ ซื้อ 11.50
นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า MCS มีศักยภาพในการเติบโตที่ดี หลังจากที่ได้รับใบรับรอง S-grade จากทางการญี่ปุ่น ทำให้ MCS ก้าวเข้าสู่ตลาดที่มีการแข่งขันน้อยรายมาก และยังมีโอกาสที่จะรับงานที่ให้มาร์จินสูงในอนาคตด้วย เนื่องจากภายหลังเกิดแผ่นดินไหวทำให้ทางญี่ปุ่นมีการปรับการออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆ ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นไปอีก จึงระบุวัสดุก่อสร้างในระดับ S-grade เท่านั้น ขณะที่มีผู้ที่ได้รับ S-grade ในญี่ปุ่นเพียง 10 รายเท่านั้น MCS น่าจะมีโอกาสที่ดีในการทำธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ MCS ยังมีนโยบายการกระจายฐานลูกค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ไม่ใช่ญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว โดย MCS ได้ไปเพิ่มการลงทุนในจีน ซึ่งเข้าไปลงทุนโรงงานที่เซียะเหมิน(Xiamen)มากขึ้น เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของ Hua Yin Holding จาก 19.78% เป็น 80% ด้วยการใส่เงินลงทุนเพิ่มไป 70 ล้านบาท เนื่องจาก MCS ต้องการใช้โรงงานนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะเป็นแหล่งจัดหาวัตถุดิบ เป็นต้น จากนั้นก็จะเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 2/54 คาดว่าจะออกมาไม่แตกต่างจากไตรมาส 1/54 มากนัก เนื่องจากทั้งปริมาณการส่งมอบสินค้า และราคาการส่งมอบสินค้า ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/54
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ไว้ที่ 731 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วที่ 811 ล้านบาท แม้ว่ากำไรสุทธิปีนี้จะลดลงแต่ก็ถือว่า MCS สามารถทำกำไรระดับสูง และให้ Net profit margin สูงเกือบ 20% หาได้ยากที่จะทำได้แบบนี้ ส่วนกำไรสุทธิปี 53 สูงกว่าปกติเพราะมีบางจังหวะที่ MCS สามารถจัดหาวัตถุดิบได้ถูกมาก แต่คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า MCS มีจุดเด่น คือ มีการรับงานล่วงหน้า 1-2 ปีทำให้การรับรู้รายได้มีความมั่นคง, บริหารงานอย่างโปร่งใส, มีโอกาสขยายงานที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้นหลังได้รับใบรับรอง S-Grade จากรัฐบาลญี่ปุ่น, มีการหาตลาดใหม่ ๆ นอกเหนือจากตลาดญี่ปุ่น
และการเข้าถือหุ้นใน Xiamen 80% จะช่วยขยายฐานรายได้และกำไรในอนาคตให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ฐานะการเงินแข็งแกร่งมาก เป็นเงินสดสุทธิ และจ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอ โดยคาดการณ์เงินปันผลสำหรับปี 54 เท่ากับ 0.65 บาท คิดเป็น Dividend Yield 6.1% (จ่ายปีละ 2 ครั้ง)
คาดการณ์ว่า MCS จะมีกำไรสุทธิ 2Q54 จะแข็งแกร่งใกล้เคียงกับ 1Q54 เนื่องจากใน 2Q54 มีการส่งมอบโครงสร้างเหล็กประมาณ 1.4 หมื่นตันใกล้เคียงกับไตรมาสแรก และงานที่ส่งมอบมีความยากง่ายใกล้เคียงกัน จึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q54 จะเท่าๆ กับ 1Q54 ที่ 35.4% นอกจากนั้นยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI สำหรับโรงงานใหม่ด้วย โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q54 ไว้ที่ 201 ล้านบาท ใกล้เคียงกับ 1Q54 ที่มีกำไรสุทธิ 203 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 8%YoY
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 54 ที่ 649 ล้านบาท ลดลงจากปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 811 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้ว MCS มีกำไรขั้นต้นที่สูงผิดปกติมากถึง 47% ซึ่งถ้ากำไรในช่วงที่ปกติจะมีกำไรราว 500 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้น 30-35% อย่างไรก็ดีปีนี้กำไรของ MCS ถือว่าได้เข้ามาอยู่ในช่วงปกติแล้ว แต่กำไรขั้นต้นก็ยังคงสูงมากอยู่ดี คาดว่าจะมีอยู่ประมาณ 35%
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ระบุว่า MCS มีความสามารถในการทำกำไรสูงสุดในกลุ่มเหล็ก และมีแนวโน้มที่จะกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2012 และคาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 6.5%
ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิ 2Q11 ยังอยู่ในระดับดีที่ 180 ล้านบาท แม้จะลดลง 11% Q-Q และ 3% Y-Y โดยคาดว่าปริมาณขายและราคาขายจะทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และการได้ใบรับรองมาตรฐาน S-Grade จากญี่ปุ่น ช่วยขยายตลาดในญี่ปุ่นได้มากขึ้น แม้ปัจจุบัน MCS จะได้รับใบรับรอง S-Grade จากญี่ปุ่น ซึ่งมีเพียงประมาณ 10 รายที่ได้รับใบรับรองนี้ จะส่งผลให้ MCS สามารถรับงานที่ต้องการคุณสมบัติสูงได้ จะส่งผลให้สามารถรับงานได้หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งคาดว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นกว่าปัจจุบันด้วย
นอกจากนี้ MCS จะเพิ่มสัดส่วนหุ้นในโรงงาน Xiamen จากเดิม 20% เป็น 80% คาดแล้วเสร็จในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งโรงงาน Xiamen มีกำลังการผลิตประมาณ 2 หมื่นตัน/ปี และมีแผนจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกเท่าตัวในอนาคต ช่วยรองรับการเติบโตของบริษัท ปัจจุบันโรงงานของ MCS มีกำลังการผลิต 7 หมื่นตัน/ปี ทั้งนี้ การที่มีโรงงานในจีนจะช่วยให้การจัดหาวัตถุดิบมีความคล่องตัวมากขึ้น
พร้อมคาดกำไรสุทธิในปี 2011 ที่ 700 ล้านบาท ลดลง 14% อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการตั้งแต่ปี 2012 จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งจากงานก่อสร้างโครงการอาคารสูง เพื่อป้องกันต่อขนาดของความรุนแรงของแผ่นดินไหวให้มีมากขึ้น นอกจากนั้น MCS ยังมีข้อได้เปรียบจากการที่มีใบรับรอง S-Grade ด้วย