โบรกเกอร์เห็นตรงกัน"ซื้อ" หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แม้ว่ากำไรในไตรมาส 2/54 จะอ่อนตัวลงตามสเปรดที่แคบลงและเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของกลุ่มวัสดุก่อสร้างรวมถึงธุรกิจกระดาษด้วย แต่มองว่าจะเริ่มเห็นกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 3/54 สอดรับวัฎจักรขาขึ้นของปิโตรเคมี ที่มองว่ารอบนี้ไปยาวถึงปี 56 ขณะที่ SCC ได้ขยายกำลังการผลิตรองรับไว้แล้วก่อนหน้า
อีกทั้งลริษัทเตรียมขยายธุรกิจในอาเซียนเพิ่มเติม จากที่มีเงินสดในมือราว 7 หมื่นล้านบาทหลังขายหุ้น บมจ.ปตท เคมิ คอล (PTTCH) รวมทั้งมีโอกาสที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลในปี 54 ได้มากกว่าปี 53
แนะให้รอราคาอ่อนตัวเช้าทยอยเก็บสะสม จากที่ราคาได้ปรับลงมาพอสมควรแล้ว เหมาะลงทุนระยะยาวที่รับกับอนาคตสดใสในช่วง 3 ปีนี้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ทิสโก้ ซื้อ 463 บล.บัวหลวง ซื้อ 456 บล.เอเชียพลัส ซื้อ 434 บล.กสิกรไทย ซื้อ 428 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 425
นายสุรชัย ประมวงเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มกำไรของ SCC ในไตรมาส 2/54 จะอ่อนตัวลงจากส่วนต่างราคา(สเปรด)ของปิโตรเคมีแคบลง และธุรกิจวัสดุก่อสร้างเป็นช่วงโลว์ซีซั่น โดยคาดว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 1/54 ที่มีกำไร 9.2 พันล้านบาท แต่จะดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 7.2 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดี ประเมินว่ากำไรทั้งปี 54 น่าจะทำได้ดีกว่าประมาณการไว้ซึ่งคาดมีกำไร(ไม่รวมรายการพิเศษ)3.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 24% จากปีก่อนที่มีกำไรก่อนรายการพิเศษ 2.74 หม่นล้านบาท(รายการพิเศษมีกำไรจากการขายหุ้น PTTCH ประมาณ 9 พันล้านบาท)เนื่องจากในไตรมาส 1/54 กำไรทำได้ดีมาก ส่วนในปี 55 คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มเป็น 3.9 หมื่นล้านบาท
"เรามองว่าอีก 3-4 ปี SCC จะเติบโตต่อเนื่องจากสิ่งที่ลงทุนไป โดยไม่มีการลงทุนใหม่ และบริษัทมีเงินสดเหลืออยู่มาก คาดว่าน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลได้มากกว่าปีที่แล้ว ประมาณไว้ 14-15 บาทต่อหุ้น จากปีที่แล้วจ่าย 12 บาทต่อหุ้น"นายสุรชัย กล่าว
ทั้งนี้ แนะนำ "ซื้อ" SCC ในช่วงที่ราคาอ่อนตัว อาจจะเห็นราคาอ่อนตัวลงช่วงที่ประกาศงบไตรมาส 2/54
ด้านนายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า SCC ยังคงเป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพการเติบโต และการลงทุนขยายกิจการกว่า 1 แสนล้านบาท แนะทยอยเก็บสะสมในระยะยาวได้
"เราคาดว่าปลายปี 55 จะเข้าสู่วัฎจักรขาขึ้น เชื่อว่าในปี 56 ผลประกอบการน่าจะดีขึ้น ทั้งวอลุ่มปริมาณการผลิต และ การขาย...เชื่อว่า outlook 3 ปีข้างหน้าจะดีขึ้นเรื่อยๆ"นายประสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิในปี 54 คาดว่าจะเติบโตไม่มาก เพราะสเปรดปิโตรเคมีเริ่มแคบเข้ามา จากที่จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาด ขณะที่คาดว่าบริษัทกำลังมองหาการลงทุนใหม่จากการที่เงินสดในมือสูงถึง 7.3 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนปีละ 10-15% หลังขายหุ้น PTTCH ออกไป
ขณะที่ บล.บัวหลวง มองว่า หุ้น SCC มีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงไม่มากนัก ขณะที่การเติบโตแข็งแกร่งในอนาคตจึง เหมาะเข้าลงทุน โดยเห็นว่าผลประกอบการที่อ่อนตัวในไตรมาส 2/54 เนื่องจากส่วนต่างปิโตรเคมีที่ลดลง รวมถึงอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงตามฤดูกาลของซีเมนต์ ปิโตรเคมี กระดาษ และวัสดุก่อสร้าง สะท้อนในราคาหุ้น SCC ที่ปรับตัวลง 13% และปรับตัวต่ำกว่า SET 5% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาแล้ว
มองว่ากำไรจะกลับเข้าช่วงขาขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 3/54 MOC จะเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต หนุนโดยการเปิดดำเนินงานของโรงงานปิโตรเคมีปลายน้ำแห่งใหม่ ขณะที่ส่วนต่างปิโตรเคมีคาดว่าจะดีดตัวขึ้นตามช่วงไฮซีซันของอุปสงค์ ในขณะที่กำลังการผลิตใหม่ของรายอื่นที่เข้าสู่ตลาดเริ่มน้อยลง(การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์คาดว่าจะมากกว่าการเพิ่มขึ้นของอุปทานตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 54 ถึงปี 56)
ดังนั้น ประเด็นการลงทุนใน SCC จากนี้ไปจะเริ่มให้ความสนใจกับ (1)การเข้าสู่แนวโน้มกำไรขาขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 54 (2)การลงทุนเข้าซื้อกิจการเพื่อสร้างการเติบโตในระยะกลางถึงระยะยาว และ(3)การเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง(high-value-added: HVA)เพื่อจะหนุนให้การเติบโตในระยะยาวมีเสถียรภาพ เราได้มองข้ามผลประกอบการที่คาดว่าจะอ่อนตัวในไตรมาส 2/54 และมองว่าแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวชัดเจน