โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.น้ำตาลครบุรี(KBS)มองบริษัทฯมีศักยภาพในการเติบโตที่ดี มองราคายังเป็นบวกต่อเนื่องจนถึงปีหน้า-ราคาน้ำตาลในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง จากความต้องการเอทานอลของบราซิล และยังมีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคต จากการขยายไลนส์ในการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ KBS ยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในไตรมาส 3/54(เม.ย.-มิ.ย.54)จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากปริมาณอ้อยเข้าหีบที่มากที่ 2.88 ล้านตันในปี 54 ที่กว่า 60% จะรับรู้ในช่วงไตรมาส 3/54 ด้านอัตรากำไรขั้นต้น ทรงตัวในระดับสูง จากราคาขายน้ำตาลโควต้าส่งออก
ขณะที่ KBS ยังเทรดบน P/E ปี 54 ที่ต่ำเพียง 10 เท่า เมื่อเทียบกับบริษัทน้ำตาล" บมจ.น้ำตาลขอนแก่น P /E 16 เท่า จึงมี Room ในการลงทุน และส่งให้นักวิเคราะห์หลายแห่งปรับเป้าหมายการประมาณการกำไรปี 54 และราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เคที ซีมิโก้ ซื้อ 17.10 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 16.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 15.75 บล.เกีรตินาคิน ซื้อ 15.00
นายสุนทร ทองทิพย์ นักวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ยังคงแนะนำ"ซื้อ"KBS ภายใต้ราคาเทรดบน P/E ปี 54 ที่ต่ำเพียง 10 เท่า เมื่อเทียบกับ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL)ที่มีค่า P/E 16 เท่า จากแนวโน้มราคาน้ำตาลที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง จึงถือว่ายังน่าสนใจ โดยให้ราคา 16 บาท
ทั้งนี้ โดยเฉพาะผลกำไรถือว่าน่าสนใจ โดยในไตรมาส 3/54(เม.ย.-มิ.ย.54)ที่คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากปริมาณอ้อยเข้าหีบที่มากโดยเฉพาะยอดขายในครึ่งปีหลัง จะสูงถึง 1.7 แสนตัน ที่รับรู้ส่วนใหญ่ในไตรมาส 3จากในครึ่งปีแรก 1.2 แสนตัน ซึ่งมากกว่าครึ่งปีแรก 40% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบที่ 2.88 ล้านตันในปี 54
นอกจากนี้ ด้านอัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงที่ 27 % จากราคาขายน้ำตาลโควต้าที่ส่งออก เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7% YOY เป็น 16,535 บาทต่อตัน หรือประมาณ $ 0.25/ib สูงกว่า $0.22 ต่อปอนด์ ที่บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย(อนท.)ประเมิน อีกทั้ง KBS ไม่ต้องแข่งขันซื้ออ้อยในราคาที่สูงเหมือนปีก่อน ยังมีรายรับจากธุรกิจไฟฟ้าจะเติบโตต่อเนื่องจากปริมาณอ้อยเข้าหีบที่มากขึ้น ทำให้ได้กากอ้อยในการผลิตกระแสไฟฟ้สมากขึ้นด้วย จากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทได้มีการปรับประมาณการกำไรปี 54 ขึ้นจากระดับ 375 ล้านบาท เป็น 534 ล้านบาท เติบโต 218 % YOY
นายธวัชชัย อัศวพรไชย นักวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก มองว่า KBS เป็นหุ้นที่น่าสนใจเพราะจากราคาที่ยังเป็นบวกต่อเนื่องจนถึงปีหน้า ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำตาลปรับตัวเพิ่ม ขึ้นจากการคาดหมายผลผลิตน้ำตาลทั่วโลกที่คาดว่าจะออกมาน้อย โดยเฉพาะในประเทศบราซิล ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของ ความต้องการเอทานอลในประเทศ ทำให้เกิดการแย่งพื้นที่เพาะปลูกอ้อยสำหรับการผลิตน้ำตาลเหล่านี้
ขณะที่ผลการดำเนินงานของ KBS บริษัทประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 2/54 (ม.ค.-มี.ค.54) ออกมาอย่างโดดเด่น โดยมีกำไรสุทธิที่ 225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% จากปีก่อน เป็นผลจากการแข่งขันด้านราคารับซื้ออ้อยในอุตสาหกรรมที่มีความเบาบางลงจากปีก่อน ทำให้บริษัทสามารถประหยัดต้นทุนขายได้ดีขึ้น และมองว่าในไตรมาส 3/54 จะเป็นช่วงที่ทำสถิติสูงสุดในไตรมาส 3/54 (เม.ย.-มิ.ย.54)
นอกจากนี้ การที่บริษัทมีแผนการลงทุนในช่วง 2 ปี(55-56)900 ล้านบาท แบ่งเป็นงบสำหรับขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า จำนวน 500 ล้านบาท โดยการขยายกำลังผลิตพลังงานไฟฟ้าจากกากน้ำตาลที่ส่งขายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)อยู่ที่ 5 เมกะวัตต์ต่อปี จากเดิม 3 เมกะวัตต์ต่อปี และจะเพิ่มเป็น 8 เมกะวัตต์ต่อปีในปี 56 ซึ่งจะทำให้รายได้ในปี 55 เพิ่มขึ้นจาก 50-60 ล้านบาทในปีนี้ เป็นมากกว่า 150 ล้านบาทต่อปี
รวมทั้งการขยายกำลังการ ผลิตน้ำตาล ในงบลงทุน 300 ล้านบาท เพิ่มกำลังการหีบอ้อยจาก 21,000 ตันอ้อยต่อวัน เป็น 23,000 ตันอ้อยต่อวัน ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าหมาย 4 ปี กำลังการผลิตน้ำตาลเพิ่มเป็น 320,000 ตัน จากปัจจุบัน ในปีนี้ที่มี 280,000 ตัน ตลอดจนยังขายธุรกิจการขายพัสดุเกี่ยวกับการเกษตร เช่น ปุ๋ย และเครื่องมือทางการเกษตร
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน ประเมินว่า แนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 3/54 ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากยอดส่งออกน้ำตาลที่ยังเหลืออีกกว่า 60% สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3/54 หลังการความต้องการน้ำตาลในประเทศไม่เปลี่ยนแปลง(โควตา ก.)ทำให้บริษัทมียอดส่งออก(โควตา ค.)เพิ่มขึ้น โดยก่อนหน้านี้ บริษัทประกาศกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2/54 ออกมาตามคาด อยู่ที่ 236 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อน และดีกว่ากำไรสุทธิ 30 ล้านบาทในไตรมาส 1/54
จากกรณีดังกล่าวได้ปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 2554 (ต.ค.53-ก.ย. 54) เป็น 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 17% รวมทั้งได้ปรับเพิ่มราคาที่เหมาะสมของ KBS เป็น 15 บาทต่อหุ้น จากวิธี DCF เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการใหม่ ดังนั้น การลงทุนในหุ้น KBS จึงยังคงคำแนะนำซื้อ โดยราคาหุ้นปัจจุบันหุ้นมี Upside Gain ประมาณ 20%