นายอนุชิต อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และบริการจัดการทางการเงิน ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า ในปี 54 ธนาคารตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 16-17% จากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจ Bancasurance และตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าบัตรเดบิตเพิ่มอีก 7 แสนใบ จากปัจจุบันมีจำนวน 11.5 ล้านใบ
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัจจุบันลูกค้าผู้ถือบัตรเดบิต ยังมีพฤติกรรมการใช้บัตรเพียงแค่การเบิกถอนเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การใช้บัตรเดบิตในการรูดซื้อสินค้ายังน้อยกว่า แม้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นบ้างก็ตาม เห็นได้จากมูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตของธนาคารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตอยู่ที่ 4,000 บาท/เดือน เพิ่มเป็น 6,000 บาท/เดือน ขณะที่ทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตประมาณ 2-3%ของผู้ถือบัตรเดบิตทั้งหมด
ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลควรต้องมีมาตรการส่งเสริมให้ประชาชนและร้านค้า มีการใช้บัตรเดบิตในการซื้อสินค้ามากขึ้น เช่นในต่างประเทศ จะมีมาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับร้านค้า และผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต ที่นำสลิปค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้บัตรมากขึ้น และช่วยลดต้นทุนได้มาก
"หากใช้บัตรเดบิตรูดซื้อสินค้าจะช่วยลดต้นทุนได้มาก ทั้งแบงก์ชาติที่ไม่ต้องพิมพ์แบงก์เพิ่มขึ้น ประหยัดค่าขนส่งเงิน ลดความเสี่ยงที่จะถูกปล้นรถขนเงิน แบงก์ก็ทำประกันน้อยลง และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้นและเร็วขึ้น" นายอนุชิต กล่าว
นายอนุชิต ยังกล่าวถึง การใช้ระบบเครือข่ายภายในประเทศ (Local Switching) เพื่อรองรับการใช้บัตรเดบิตที่ออกและใช้จ่ายในประเทศว่า ขณะนี้รอเพียงนโยบายการออกกฎหมายรองรับจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งในระบบธนาคารพาณิชย์ต้องการให้ ธปท.มีการออกมาตรฐานการใช้ Electronic Money ให้เป็นมาตฐานเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันการใช้ Local Switching มีเพียงบัตรเครดิต ซึ่งมีกฎหมายรองรับจาก พ.ร.บ.ธุรกิจบัตรเครดิต