ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (1 ก.ค.) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่สดใส ขณะที่นักลงทุนก็คลายความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สินกรีซ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 168.43 จุด หรือ 1.36% ปิดที่ 12,582.77 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 19.03 จุด หรือ 1.44% ปิดที่ 1,339.67 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 42.51 จุด หรือ 1.53% ปิดที่ 2,816.03 จุด และปรับตัวสูงขึ้น 6% ตลอดสัปดาห์ ซึ่งถือว่าดีที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี
หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นแกนนำในการปรับตัวสูงขึ้น โดยทะยานกว่า 7% ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่างขยายตัวเกิน 6%
ปัจจัยหลักที่หนุนให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานอย่างแข็งแกร่งคือ การที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ขยายตัวแตะ 55.3 จุดในเดือนมิถุนายน จากระดับ 53.5 จุดในเดือนพฤษภาคม
อีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กให้ปิดบวกตลอดทั้งสัปดาห์คือ การที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สินกรีซ หลังจากที่รัฐสภากรีซมีมติรับรองร่างกฎหมายรัดเข็มขัดระยะ 5 ปีฉบับที่ 2 ซึ่งเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการทางการคลัง รวมถึงการจัดตั้งองค์กรแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการบังคับใช้กฎหมายด้านภาษี ซึ่งเป็นข้อกำหนดในการรับเงินกู้งวดที่ 5 มูลค่า 1.2 หมื่นล้านยูโรจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)