นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ. เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน(BWG) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้รับงานประมูลจากลูกค้าเพิ่มอีกคิดเป็นมูลค่ารวมร่วม 100 ล้านบาท
ได้แก่ งานกำจัดกากอุตสาหกรรมของ บมจ.ไทยเคนเปเปอร์(TCP) มูลค่า 18 ล้านบาท บริษัท เอสแอลพี เอ็นไวรอนเมนทอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษา ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับโรงงาน มูลค่า 1.7 ล้าน บริษัท ทีโอซีไกคอน จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจด้านปิโตรเคมี มูลค่า 2.3 ล้านบาท บริษัท พีทีทีโพลีเอททีลีน จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจด้านปิโตรเคมี มูลค่า 1.1 ล้านบาท
บมจ. จีสตีล (GSTEEL) มูลค่า 1.5 ล้านบาท บริษัท ไทยเอ็กซ์เพลส จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม มูลค่า 5 ล้านบาท บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) มูลค่า 30 ล้านบาท บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด มูลค่า 20 ล้านบาท และบมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) มูลค่า 16 ล้านบาท รวม 95.6 ล้านบาท
"ขณะนี้ BWG ได้รับงานจากทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมในประเทศส่งผลให้ปริมาณกากอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเดินหน้านโยบายลดปัญหามลพิษอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมต้องจัดการกากอุตสาหกรรมให้เป็นระบบที่ถูกต้อง"นายสุวัฒน์ กล่าว
ดังนั้น จึงมีกากอุตสาหกรรมที่เข้าบำบัดตามกระบวนการที่ถูกต้องเพิ่มมากขึ้น จึงส่งผลดีต่อบริษัทฯ ในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากปัจจุบันนี้ BWG ถือเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวของประเทศไทยที่ให้บริการบำบัดกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ทั้งฝังกลบ เผาทำลายด้วยเตาอุณหภูมิสูง รีไซเคิล และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงาน จึงได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า การขยายตัวอย่างชัดเจนและต่อเนื่องของปริมาณกากอุตสาหกรรมในประเทศ เชื่อว่าจะส่งผลให้บริษัทเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 1/54 มีกำไรสุทธิ 21 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.07 บาท เพิ่มขึ้น 26.17 ล้านบาท หรือ 406.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 53 ที่ขาดทุนสุทธิ 5.17 ล้านบาท หรือขาดทุนหุ้นละ 0.02 บาท และถือว่าใกล้เคียงกับกำไรงวด 9 เดือนของปี 53 ที่ทำได้ 23 ล้านบาท และเชื่อว่าในไตรมาสที่ 2/54 จะสามารถสร้างผลประกอบการให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ในปี 52 มีกากอุตสาหกรรมทั้งที่อันตรายและไม่อันตรายในประเทศไทยรวมกันประมาณ 21 ล้านตัน และเพิ่มขึ้นเป็น 26.8 ล้านตันในปี 53 และในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปีก่อน หรืออยู่ที่ประมาณ 30 ล้านตัน ในขณะที่ปัจจุบัน BWG บำบัดกากทั้ง 2 ประเภทรวมกันประมาณ 2.7 แสนตัน- 3 แสนตัน/ปี เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
ดังนั้น เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ บริษัทฯเตรียมลงทุนก่อสร้างหลุมฝังกลบและลงทุนในระบบกำกับดูแล และควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งระบบอำนวยความสะดวกในการขนส่งกากอุตสาหกรรมเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถรองรับกากอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของปริมาณกากดังกล่าว
นอกจากนั้น บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะต่อยอดธุรกิจจัดการกากอุตสาหกรรมจากการกำจัดไปสู่การรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่และแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในธุรกิจพลังงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการบริหารจัดการและสร้างรายได้อย่างมั่นคงในระยะยาว