ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 12.90 จุดหลังมูดีส์หั่นเครดิตโปรตุเกส

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 6, 2011 06:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้ยุโรป หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรโตเกสลงสู่ "ระดับขยะ" เพราะกังวลว่ารัฐบาลโปรตุเกสจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดยอดขาดดุลงบประมาณได้ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เพราะตลาดได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานอุตสาหกรรมในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นในเดือนพ.ค.

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 12.90 จุด หรือ 0.10% แตะที่ 12,569.87 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 1.79 จุด หรือ 0.13% แตะที่ 1,337.88 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 9.74 จุด หรือ 0.35% แตะที่ 2,825.77 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 3.4 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นในสัดส่วนที่เท่าเทียมกัน

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันหลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรโตเกสลงสู่ "ระดับขยะ" เพราะกังวลว่ารัฐบาลโปรตุเกสจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดยอดขาดดุลงบประมาณได้ และอาจทำให้โปรตุเกสเผชิญกับวิกฤตการคลังจนนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ในวันข้างหน้า

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มูดีส์ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของโปรตุเกสลง 2 ขั้น มาอยู่ที่ระดับ A3 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานะด้านการคลังและวิกฤตการณ์ทางการเมืองของโปรตุเกส หลังจากนายกรัฐมนตรีโฮเซ โสคราตีสของโปรตุเกส ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ภายหลังจากรัฐสภาโปรตุเกสปฏิเสธมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล รวมถึงการลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณ

นักลงทุนกังวลว่า การที่รัฐสภาโปรตุเกสปฏิเสธมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลอาจจะส่งผลให้โปรตุเกสต้องข้อความช่วยเหลือด้านการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) เช่นเดียวกับกรีซ นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลว่า ปัญหาหนี้สินของยุโรปอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และอาจจะลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายต่อระบบธนาคารในยุโรปด้วย

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด ขณะที่ดัชนี Nasdaq สามารถปิดในแดนบวกได้ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.พุ่งขึ้นเกินคาด 0.8% สู่ระดับ 4.453 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนผ่อนคลายจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

นักวิเคราะห์จากแฟคเซทมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่จะเริ่มมีการรายงานตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป โดยคาดว่าผลประกอบการที่แข็งแกร่งจะช่วยหนุนดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 14%

หุ้นเชฟรอน คอร์ ปิดบวก 1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 96 ดอลลาร์/บาร์เรล

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนพ.ค. วันพุธ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการและดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจเดือนมิ.ย. วันพฤหัสบดี ADP Employer Services จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนทั่วประเทศเดือนมิ.ย.และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนพ.ค. และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย. โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนมิ.ย.จะเพิ่มขึ้น 90,000 ราย และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมิ.ย.จะลดลงสู่ระดับ 9%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ