LH เน้นบ้านเดี่ยวดันรายได้ทะลุ 2หมื่นลบ.ปีนี้,ก.ย.ออกหุ้นกู้ 2.5พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 8, 2011 16:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH)เดินหน้าแผนเปิดโครงการใหม่กว่า 4.2 หมื่นล้านบาท โดยเน้นบ้านเดี่ยวที่สามารถรับรู้รายได้เร็วใน 2 สัปดาห์จากคอนเส็ปต์บ้านสร้างเสร็จก่อนขาย หวังช่วยเร่งยอดรับรู้รายได้ปีนี้ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งแนวโน้มทำได้เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ว่าจะโต 15-20% จากปีก่อน 1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่การเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมก็ยังมีต่อเนื่องปลายปีนี้เปิดใหม่อีก 2 โครงการย่านสาทรและซอยอารีย์

พร้อมมีแผนขายหุ้นกู้ 2.5 พันล้านบาท อายุ 3 ปี เสนอขาย ก.ย.และจะสรุปจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทร้พย์ใหม่ได้ในปลายไตรมาส 3/54 จะช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิปีนี้สูงกว่าปีก่อน

นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการผู้จัดการ LH คาดว่า รายได้ปีนี้จะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15-20% เพราะปีนี้บริษัทเปิดขายโครงการค่อนข้างมากเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยปี 53 เปิดโครงการใหม่ 17 โครงการมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 52 เปิดโครงการใหม่ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท และปีนี้จะเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมสูงถึง 4.2 หมื่นล้านบาท

"การเปิดโครงการใหม่มาก ก็เหมือนกับเรามีร้านขายของมากขึ้น ช่วยให้ยอดขายโตขึ้นได้สูง แต่ถ้าทุกคนแย่งกันเปิดตัวมากไปก็ไม่ดี เราต้องพยายามหาช่องทางการตลาดเพื่อจะขายได้ดีกว่าปกติ โดยปีนี้จะเปืดบ้านเดี่ยวค่อนข้างเยอะ เสริมด้วยทาวน์เฮ้าส์ จากปีที่แล้วเปิดคอนโดฯเยอะ เปิดไป 7 โครงการ มูลค่า 9 พันล้านบาท

แต่จะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ต่อไปหรือไม่ บริษัทก็ต้องคอยประเมินสถานการณ์ตลาดดูตลอดเวลา เพราะสถานการณ์ไม่นิ่ง กลยุทธ์จำเป็นต้องผันแปรตาม เราต้องประเมินตลอดเวลา เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเพื่อไม่ให้ตกเทรน"นายอดิศรให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"

ทั้งนี้ สัดส่วนบ้านเดี่ยวที่เปิดใหม่ในปีนี้คิดเป็น 70% ของมูลค่าโครงการใหม่ทั้ง 4.2 หมื่นล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 10% และคอนโดมิเนียม 20%

นายอดิศร กล่าวว่า การรับรู้รายได้โครงการบ้านเดี่ยวของบริษัทจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์เพราะเป็นบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ฉะนั้นเมื่อเปิดจองซื้อและอีก 2 สัปดาห์ก็สามารถโอนได้ ทำให้บริษัทรับรู้รายได้ทันที ส่วนทาวน์เฮ้าส์ใช้เวลารับรู้รายได้ประมาณ 3-4 เดือน

นอกจากนี้ ในปีนี้จะมีการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดเมื่อปีทีแล้วประมาณ 3 โครงการ จากที่เปิดตัวไปแล้ว 7 โครงการ และในปีหน้าก็จะรับรู้รายได้ 3 โครงการที่รับรู้ไปบ้างแล้วในปีนี้ และ อีก 4 โครงการที่ยังไม่ได้รับรู้รายได้

*ยอดจอง H1/54 เป็นไปตามเป้า คาด Q3/54 กำลังซื้อแข็งแกร่ง

รองกรรมการผู้จัดการ LH กล่าวว่า ครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่อีก 7-8 โครงการ มูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปีเปิดไปแล้ว 11 โครงการ จะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ รวมคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการจะเปิดในปลายปีนี้ คือย่านสาทรและซอยอารีย์

ยอดจองครึ่งปีแรกทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย โดยทั้งปียอดจองคาดไว้ 2.5 หมื่นล้านบาทน่าจะทำได้ตามเป้า โดยแต่ละไตรมาสจะมียอดจองไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับช่วงที่บริษัทเปิดโครงการใหม่มากน้อย ครึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าใกล้เคียงกับเป้า โดยไตรมาส 1/54 อยํในระดับพอใช้ได้ แต่ไตรมาส 2/54 ขายดีกว่า ทำให้รายได้ดีขึ้นด้วย มีจากโครงการเก่าและเปิดโครงการใหม่

ไตรมาส 3/54 ตามแผนจะเปิดโครงการใหม่ 3 แห่ง เป็นโครงการบ้านเดี่ยวทั้งหมด รวมมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท ไตรมาส 4/54 จะเปิดโครงการใหม่ คือ คอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว

"ไตรมาส 3 คิดว่ากำลังซื้อก็ยังแข็งแกร่งคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โมเมมตัมยังดีไม่อย่างนั้นยอดจองในไตรมาส 2 คงไม่ดีไปกว่าไตรมาส 1 และไตรมาส 3 เป็นไตรมาสที่ค่อนข้างจะดีอยู่แล้ว...ตลาดยังดูดี ไม่ร้อนแรง ใช้ได้เลย ผมชอบอย่างนี้มากกว่า ถ้าบูมมากก็ไม่ค่อยดี บูมแล้วหวือหวาไม่ดี มีโอกาสเจ็บตัวกันได้ real demand ปีนี้ดีจริงๆ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ก็ยังดี คอนโดฯอาจแผ่วนิดๆ" นายอดิศร กล่าว

ภาพรวมแนวโน้มครึ่งปีหลังของธุรกิจอังหาริมทรัพย์น่าจะยังดีอยู่ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น แต่ไม่ได้กระทบกำลังซื้อมากนัก บริษัทเองก็ไม่ได้มองเป็นปัจจัยลบปีนี้ สาเหตุที่มองเป็นบวกได้ เพราะการเปิดตัวสินค้าใหม่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้าจจะน้อยกว่าปีที่แล้ว ทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงเกินไป

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงปีนี้คือเรื่องเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ดอกเบี้ยของไทยยังถือว่ายังเป็นระดับที่ไม่สูง และตลาดมีสภาพคล่องดี แบงก์ก็อยากจะปล่อยกู้ ทำให้การหาสินเชื่อไม่มีปัญหาทำได้รวดเร็ว ประกอบกับ กำลังซื้อก็ยังดี ถึงแม้ว่าเงินเฟ้อปีนี้อาจจะขึ้นไปถึง 4% แต่คนกินเงินเดือนได้เพิ่มมากกว่านั้น และปีนี้ค่าแรงขั้นต่ำก็จะขึ้นมากพอสมควร

*กำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อน ได้กองทุนอสังหาฯหนุน

ทางกลับกัน นายอดิศร เห็นว่า ปีนี้ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่ม ซึ่งบริษัทได้เจรจากับผู้ผลิตวัสดุเมื่อปลายปีที่แล้วที่เริ่มมีการปรับราคา โดยขอผู้ผลิตบางรายยืนราคามาถึงปีนี้ก่อน ทำให้ปีนี้ราคาต้นทุนนิ่ง โดยเฉลี่ยจะให้ยืนราคา 3 เดือน ถึง 1 ปี ขณะเดียวกันบริษัทได้ปรับขึ้นราคาบ้านเฉลี่ย 3-5% ส่งผลให้มาร์จิ้นใกล้เคีบงปีที่แล้วที่ 33% เพราะปรับราคาไปตามภาวะต้นทุน

ดังนั้น คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้น่าจะสูงกว่าปีที่แล้ว และคาดว่ากำไรในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ค่อนข้างมากในไตรมาส 4/54 โดยจะมีโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการทยอยรับรู้ฯ เข้ามาในครึ่งปีหลัง

ส่วนการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ใหม่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายไตรมาส 3/54 ระหว่างนี้รอการเลือกและประเมินราคาทรัพย์สิน ส่วนใหญ่เป็นโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ที่จะขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ หากดำเนินการได้ภายในปีนี้จะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทสูงขึ้นกว่านี้

และบริษัทคาดว่าจะออกหุ้นกู้วงเงิน 2.5 พันล้านบาท อายุ 3 ปี จะเสนอขายในเดือน ก.ย.นี้ บางส่วนนำไปซื้อที่ดิน และนำไปชำระหนี้ที่ถึงกำหนดชำระ 2 พันล้านบาท โดยจากมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้บริษัทออกเสนอขายหุ้นกู้ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จะเหลือที่จะออกหุ้นกู้ใหม่ไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ