นายดุษิต จงสุทธนามณี กรรมการการเงิน บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่(PRANDA) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/54 คาดว่าจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตั้งแต่เดือน มี.ค.54 ทำให้ยอดขายเติบโตได้ดีขึ้นจากไตรมาส 1/54 ที่ยอดขายหดตัว เนื่องจากตลาดต่างประเทศค่อนข้างซึม โดยเฉพาะในตลาดยุโรปทั้ง อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ทำยอดขายไม่ได้ตามเป้าหมาย
"ปกติช่วงที่ทำยอดขายได้ดีเป็นช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 แต่ปีนี้ช่วง ม.ค.-ก.พ.ยอดขายไม่ดี หดตัวประมาณ 5% โดยเฉพาะในอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ไตรมาส 1/54 มีกำไรมากจากการปรับราคาที่ดินใหม่ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไตรมาส 2/54 จะไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว" นายดุษิต กล่าว
อย่างไรก็ตามในปี 54 บริษัทยังคงเป้าหมายมีรายได้เติบโต 8% และรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ 9-10% ใกล้เคียงปีก่อน ซึ่งจากการที่ไตรมาส 1/54 ที่ยอดขายหดตัว ทำให้ในช่วงไตรมาสที่เหลือจะต้องทำยอดขายให้ได้อย่างน้อย 10% เพื่อให้มีรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย และเพิ่มรายได้จากสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเอง (House Brand) จาก 30% เป็น 35% และเพิ่มเป็น 50% ในปี 56
ขณะเดียวกันจะเร่งเพิ่มยอดขายในต่างประเทศมากขึ้น โดยปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายในอินเดียอีก 1 เท่า จากปีก่อนมียอดขาย 3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 6 ล้านดอลลาร์ ประเทศเยอรมัน เพิ่มยอดขายอีก 30% จากปีก่อนอยู่ที่ 10 ล้านดอลลาร์ ส่วนตลาดจีนยังเป็นช่วงทดลองตลาด วางเป้าหมายมียอดขายให้ถึงจุดคุ้มทุนเท่านั้น ขณะที่ฝรั่งเศสเริ่มมียอดขายที่ดีขึ้น
"ตลาดเยอรมันถือเป็นตลาดใหญ่ เราเปิดตลาดได้แค่ 10% ของยอดขายรวม มองว่าน่าจะขยายตลาดได้อีกมาก โดยที่ปัญหาวิกฤติยุโรปไม่ได้ทำให้ยอดขายลดลงด้วย" นายดุษิต กล่าว
และปีนี้ บริษัทคงมีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่มาก เนื่องจากปีนี้ค่าเงินบาทไม่ผันผวนเท่าปีก่อน จากปีก่อนที่เงินบาทแข็งค่าประมาณ 10-12% แต่ปีนี้ คาดว่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าไม่เกิน 30% หรืออยู่ที่ 29-30 บาท/ดอลลาร์
นายดุษิต กล่าวอีกว่า ในช่วงระยะสั้นนี้ บริษัทยังไม่แผนการลงทุนใหม่ๆเพิ่มเติม จากล่าสุดที่มีแผนการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ 5 ชั้น เพื่อสร้างเป็นอาคารสำนักงาน ศูนย์ออกแบบ-พัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตลาดต่างประเทศ ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ขณะนี้ทาง กทม.ได้อนุญาตการก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในช่วงครึ่งปีหลังและจะแล้วเสร็จในปี 55-56 ขณะที่บริษัทซื้อโรงงานใหม่ในเขตอุตสาหกรรมสุรนารี เพื่อขยายกำลังการผลิตอีก 1 ล้านชิ้น/ปี ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวม 9 ล้านชิ้น/ปี ซึ่งยังเพียงพอรองรับออเดอร์