นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ (SITHAI) เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งหลังปี 54 บริษัทตั้งเป้ามียอดขายที่ 3,500 ล้านบาท จากช่วงครึ่งปีแรกมียอดขายแล้ว 3,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 19% ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนจากเมลามีน บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ PREFORM ฝาขวดน้ำดื่ม การเป่าขวดและกล่องบรรจุภัณฑ์อาหารประเภท CHILLED FOOD และ READY-TO-EAT ตลอดจนธุรกิจขายตรง
ดังนั้น บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายรวมทั้งปีนี้ จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 6,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน โดยบริษัทมีการปรับขึ้นราคาขายเมลามีน เฉลี่ย 10% สำหรับตลาดต่างประเทศ ส่วนสินค้าพลาสติกจะปรับขึ้น ซึ่งขึ้นกับวัตถุดิบ โดยสัดส่วนการขายเมลามีน อยู่ที่ 60% และ พลาสติก 35% และสินค้าอื่นที่ซื้อมาขายไปอีก 5%
และบริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปี 54 จะเติบโตตามยอดขายที่คาดว่าเติบโต 17% แม้ในปีนี้จะต้องจ่ายค่าพรีเมียมประกันเพิ่มขึ้น เป็นกว่า 20 ล้านบาท จาก 3 ล้านบาทในปี 53 แต่ไม่น่าจะกระทบกำไรสุทธิ เนื่องจากมาตรฐานบัญชีใหม่เกี่ยวกับการตัดค่าเสื่อมยาวขึ้นทำให้คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อปีน้อยลง
นายสนั่น กล่าวว่า ภาพรวมในครึ่งปีหลังมีปัญหาที่น่ากังวล ได้แก่ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น
ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศ บริษัทได้ชะลอการลงทุนในอินเดียและเวียดนามออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยในอินเดียมีปัญหาเรื่องโครงสร้างภาษีที่ไม่เอื้อกับการลงทุน ส่วนเวียดนาม มองว่าเศรษฐกิจยังไม่ดี อยู่ในช่วงขาลงและมีการปรับลดค่าเงินด่องลง
นายสนั่น ให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาท/วันปีหน้าของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับขึ้นกว่า 10% โดยปัจจุบันต้นทุนค่าแรงคิดเป็นสัดส่วน 10% ของต้นทุนรวม และอาจจะส่งผลให้ต่างชาติหันไปลงทุนประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าแรงรวดเดียวส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการแน่นอน เพราะไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายกับลูกค้าได้ทันที โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง
"การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท มีทั้งเรื่องดีและไม่ดี เรื่องดีคือทำให้กำลังซื้อบรีโภคเพิ่มขึ้น แต่จะส่งผลลบต่อผู้ประกอบการ ทำให้ต้นทุนปรับเพิ่มขึ้น ผมคิดว่าควรจะทยอยปรับขึ้นมากกว่า ล่าสุดได้คุยกับลูกค้าและผู้ร่วมทุนกับญี่ปุ่น เขาก็ไม่มั่นใจแล้วที่จะมาลงทุนในไทย เนื่องจากกลัวปัญหาเรื่องค่าแรง"นายสนั่น กล่าว
วันนี้ บริษัทได้รับเงินชดเชยสินไหมทดแทนงวดสุดท้ายจากเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานเม็ดพลาสติกในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.53 ในวงเงิน 110 ล้านบาท จาก บมจ.เมืองไทยประกันภัย (MTI) หลังจากบริษัทได้ทยอยจ่ายเงินชดเชยสินไหมมาแล้วรวม 300 ล้านบาท เมื่อปี 53 และเมื่อ มี.ค.54 อีก 50 ล้านบาท
บริษัทจะนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการชดเชยความเสียหายของสินค้าจำนวน 151 ล้านบาท อาคารและสิ่งปลูกสร้างที่เสียหาย รวมระบบไฟฟ้าและน้ำ 93 ล้านบาท เครื่องจักรและแม่พิมพ์ 177 ล้านบาท อุปกรณ์โรงงาน 34 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ 5 ล้านบาท