ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ก.ค.) หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดมีความพร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสาม หรือ QE3 หากพบว่าภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจยืดเยื้อยาวนานและมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะขาลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากทางการจีนเปิดเผยว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 44.73 จุด หรือ 0.36% แตะที่ 12,491.61 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 4.08 จุด หรือ 0.31% แตะที่ 1,317.72 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 15.01 จุด หรือ 0.54% แตะที่ 2,796.92 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 3.3 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2 ต่อ 1
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา โดยตลาดได้แรงหนุนหลังจากเบอร์นันเก้ แถลงมุมมองเศรษฐกิจต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาประเทศไทยว่า เฟดพร้อมที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะรวมถึงมาตรการ หรือ QE3 หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะขาลง เช่นแรงกดดันที่เกิดจากภาวะเงินฝืด
เบอร์นันเก้ได้เสนอทางเลือกหลายทางเพื่อให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดพิจารณา ซึ่งรวมถึงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลรอบใหม่ ซึ่งถือเป็นรอบที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2552 และการลดอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งบัญชีสำรองเงินฝากไว้กับเฟด เพื่อสนับสนุนธนาคารพาณิชย์ให้สามารถปล่อยเงินกู้ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ปี 2554 ขยายตัว 9.5% ขณะที่ผลผลิตมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 14.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี และยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 16.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กถอยร่นลงจากระดับสูงสุดในระหว่างวัน หลังจากนายจอห์น โบเนอร์ โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมาแสดงความไม่มั่นใจว่า รัฐสภาสหรัฐจะอนุมัติการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางได้ก่อนกำหนดวันที่ 2 ส.ค.หรือไม่ เพราะหากเลยกำหนดเวลาดังกล่าว ก็จะทำให้สหรัฐต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มวัสดุพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเพราะได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันและโลหะ โดยดัชนี S&P หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 0.7% และหุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของสหรัฐทะยานขึ้น 3.3% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอร์แกน คอปเปอร์ แอนด์ โกลด์ บริษัทเหมืองทองคำและทองแดงรายใหญ่ ปิดบวก 2%
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปิดบวก 0.6% หุ้นกูเกิลปิดบวก 0.8% ก่อนที่เจพีมอร์แกน และกูเกิล อิงค์ จะเปิดเผยผลประกอบการในช่วงเย็นวันพฤหัสบดี
หุ้นนิวส์ คอร์ป ปิดพุ่ง 3.8% หลังจากบริษัทประกาศถอนข้อเสนอซื้อหุ้น 61% ในบริติช สกาย บรอดคาสติง กรุ๊ป (บีสกายบี)
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค. กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. และธนาคารกลางสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิ.ย.