บลจ.ทิสโก้แนะนลท.เพิ่มพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียที่ยังมีการขยายตัวสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Sunday July 17, 2011 11:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ ประเมินว่าในตอนนี้นับเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่นักลงทุนจะทำการเพิ่มพอร์ตการลงทุนในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในเอเชียยังมีการขยายตัวในอัตราที่สูง และปัจจัยลบต่าง ๆ เช่น เงินเฟ้อจะคลี่คลายอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง และไม่ได้มีปัญหาเรื่องหนี้สาธารณะเหมือนเช่นในแถบยุโรปอีกด้วย โดย PE ของตลาดเอเชีย (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) นั้น ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 เท่า ขณะที่ในอดีตช่วงที่เศรษฐกิจมีการเติบโตได้ดีนั้น PE จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 14 เท่า

ประกอบกับในส่วนของไทยนั้น แม้ว่าเศรษฐกิจคาดว่าจะยังคงสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่องภายใต้รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และพร้อมที่จะผลักดันนโยบายต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการลงทุนและการบริโภคที่สูงขึ้น แต่ก็จะมีผลต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อในอนาคตที่อาจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แต่ถ้ามอง PE ตลาดหุ้นไทยนั้นถือว่าเริ่มอยู่ในระดับที่สูงประมาณ 12-13 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยดัชนีในปัจจุบันใกล้แตะระดับ 1,100 จุด ซึ่งทาง บลจ.ทิสโก้ ยังคงมุมมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,200 จุด โดยมี Upside อยู่ประมาณ 10% เท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนจึงควรที่จะกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังตลาดในต่างประเทศที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่มากขึ้น

ถ้าดูเป็นรายประเทศแล้ว จีนจะยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในเอเชีย เนื่องด้วยเศรษฐกิจยังมีการขยายตัวในระดับที่สูง ถึงแม้ว่าทางการจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดความร้อนแรงให้ผ่อนคลายลงแล้วก็ตาม ขณะที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น ก็เริ่มเห็นสัญญาณว่าจะคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเศรษฐกิจของจีนจะมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง แต่ในด้านของดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นไปอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงถือเป็นจังหวะเหมาะที่จะกระจายการลงทุนเข้าไปในตลาดดังกล่าว โดยตลาดหุ้นจีน คาดว่ายังมี Upside อยู่มากกว่า 30% จาก P/E ที่อยู่ในระดับเพียง 10 เท่า

สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงของการฟื้นตัวก็เป็นอีกตลาดที่มีความน่าสนใจ แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้นจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโยบายในช่วงนี้อย่างแน่นอน และถึงแม้ว่ามาตรการการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ (QE2) จะหมดไปในสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และยังไม่มีการออก QE3 นั้น สภาพคล่องที่อยู่ในระบบก็ยังไม่ได้มีการถูกถอนออกไป ทำให้สภาพคล่องของโลกจะยังคงมีอยู่ต่อไป สำหรับปัญหาในยุโรปยังถือเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองกันเป็นพิเศษ ในเรื่องของการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือกรีซ ซึ่งเกิดวิกฤตหนี้อยู่ในขณะนี้ ให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้ เพราะหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้แล้วย่อมจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประเทศอื่น ๆ เช่น อิตาลี, ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส เป็นต้น แต่ก็เชื่อว่าทุกฝ่ายจะพยายามหามาตรการเพื่อช่วยเหลือให้กรีซ และประเทศในยุโรปอื่น ๆ รอดพ้นจากวิกฤติหนี้สาธารณะหนี้ได้

“ด้วยภาพรวมการเศรษฐกิจทั่วโลกแล้ว บลจ.ทิสโก้ มองว่าตอนนี้เป็นจังหวะเหมาะที่นักลงทุนจะหันมาลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นเอเชีย เพราะดัชนีหุ้นในช่วงที่ผ่านมานั้นยังไม่ได้สะท้อนถึงเรื่องเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวดี ซึ่งจีนถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด แต่ทั้งนี้การจะตัดสินใจลงทุนก็ต้องขึ้นอยู่บนความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละท่านด้วย เนื่องจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศนี้ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นในประเทศ" นายสาห์รัช กล่าว

อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์กองทุนรวมของ บลจ.ทิสโก้ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการลงทุนในหุ้นจีน คือ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% #4" ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ โดยมีนโยบายลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีหุ้นของประเทศในภูมิภาคเอเชีย 5 ประเทศ อันได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และสิงคโปร์ ตั้งเป้าทำกำไรที่ 15% โดยจะเสนอขายเพียงครั้งเดียว (ไอพีโอ) ระหว่างวันที่ 11 — 22 กรกฎาคม 2554 นี้ โดยผู้สนใจติดต่อได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Call Center โทร. 02-633-6000 กด 4


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ