นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไพลอน(PYLON) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่าจะมีการทบทวนเป้ารายได้ปี 54 หลังจากปิดงบการเงินงวดไตรมาส 3/54 จากที่เคยตั้งไว้ 1 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะออกมาดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก
"ใกล้ๆจบไตรมาส 3/54 อาจจะมีการทบทวนรายได้อีกที เดิมเราตั้งไว้ 1 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกตัวบริษัทแม่เข้าเป้า แต่ตัวบริษัทลูก รายได้ยังไม่เข้าเป้าคือมีงานแล้ว แต่งานมันไม่เยอะเท่าที่คาด ฉะนั้นคิดว่ามันจะมาเร่งในช่วงครึ่งปีหลัง ก็เดี๋ยวขอดูทิศทางต่างๆอีกที"นายบดินทร์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (backlog) แล้วเกือบ 1.2 พันล้านบาท หลังล่าสุดได้รับงานก่อสร้างโครงการชีวาทัย รามคำแหง ซึ่งเป็นงานเสาเข็มเจาะสำหรับงานอาคาร โดยมี บจ.ชีวาทัย เป็นผู้ว่าจ้าง ระยะเวลาก่อสร้าง 75 วัน และโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณ Block E และ D2 ศูนย์การค้าสยามสแควร์ เป็นงานเสาเข็มเจาะสำหรับงานอาคาร โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ว่าจ้าง ระยะเวลาก่อสร้าง 120 วัน มูลค่ารวม 116.7 ล้านบาท
บริษัทคาดว่างานในมือดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 50% ที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯต่อเนื่องไปถึงปี 56 และในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทก็มีแผนเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้กำลังรอผลประมูลงานที่ได้ยื่นไปแล้วมูลค่ารวม 2 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานรับเหมาก่อสร้างทั่วไปมูลค่า 1.2 พันล้านบาท และงานเสาเข็มเจาะมูลค่า 800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดหวังได้งานราว 25% ของมูลค่างานทั้งหมด จะเริ่มทยอยประกาศผลในช่วง 2-3 เดือนต่อจากนี้
ปัจจุบันบริษัทรับงานภาครัฐในสัดส่วน 40% และงานภาคเอกชนในสัดส่วน 60% โดยในปี 55 บริษัทมีโอกาสปรับสัดส่วนการรับงานภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็น 60% ขณะที่งานภาคเอกชนมีสัดส่วน 40% จากนโยบายใหม่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงการสานต่อโครงการเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ
“เชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่จะแสดงเสถียรภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และจะขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งหากเศรษฐกิจกระเตื้องจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างและเสาเข็มเจาะ และแน่นอนว่าบริษัทฯ ได้ประโยชน์ในการรับงานมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งจะส่งผลชัดเจนต่อผลประกอบการในไตรมาส 3/2554 เป็นต้นไป"นายบดินทร์ กล่าว
และในปีนี้บริษัทมีแผนรุกงานแนวราบเพิ่มขึ้น หลังจากพบว่ามีงานใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น และบริษัทมีความพร้อมทุกด้าน โดยปัจจุบันสัดส่วนงานแนวราบคิดเป็น 30% ของรายได้รวม ที่เหลือเป็นงานฐานราก
"มาร์จิ้นระหว่างงานแนวราบกับงานฐานราก ที่จริงก็ขึ้นอยู่กับช่วงของการแข่งขัน แต่ช่วงนี้งานฐานรากยังดีกว่า ซึ่งเราก็ของเน้นตรงนี้ก่อน ส่วนการแนวราบก็เป็นงานที่เข้ามาเสริมอีกทางหนึ่ง"นายบดินทร์ กล่าว