นายมารุต แสงศาสตรา ผู้ช่วยเลขานุการบริษัท และผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไดนาสตี้ เซรามิค(DCC) กล่าวว่า บริษัทน่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงหากรัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ โดยจะลดภาษีรายได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ภายในปี 55 เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน
เนื่องจากปัจจุบันบริษัทจ่ายภาษีในอัตราเต็มที่ 30% ซึ่งถ้านโยบายดังกล่าวสามารถปฏิบัติได้จริง ก็คงทำให้ผลประกอบการของบริษัทในปี 55 เติบโตขึ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะสูงกว่าปี 54 ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ไม่ได้กระทบต่อบริษัทมากนัก เพราะต้นทุนค่าแรงคิดเป็นเพียง 6% ของต้นทุนในการผลิตรวมของบริษัท แต่อีกด้านหนึ่งทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคสูงขึ้น
"ภาพรวมปี 55 ดีขึ้น เพราะถ้าภาษีลดลงก็เป็นกำไรทันที และถ้าขึ้นค่าแรงงานคนก็มีเงินมากขึ้น เราก็อาจได้ประโยชน์ตรงที่ว่าเราสามารถขยับราคาสินค้าขึ้นได้ หรือลูกค้ามีกำลังซื้อมากขึ้น ส่วนเรื่องภาษีก็ตามเปอร์เซ็นเลย และก็มีเรื่องประกันราคาสินค้าเกษตร ก็จะทำให้มีรายได้ที่แน่นอน"นายมารุต กล่าว
นายมารุต กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทประเมินยอดขายในปี 55 ไว้เติบโตประมาณ 10% ซึ่งคงต้อรอดูสถานการณ์ก่อนว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้นโยบายดังกล่าวยังเป็นแค่รูปธรรม ต้องรอให้มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติก่อน เพื่อรอดูว่าตลาดฯจะขยับไปทิศทางไหน แต่หากในแง่ของกำไรบริษัทคงมากขึ้นแน่นอน
ประกอบกับบริษัทคาดว่าราคาขายสินค้าโดยเฉลี่ยในปี 55 จะปรับขึ้นอีกประมาณ 2 บาท เป็น 132 บาท/ตร.ม. จากปีนี้คาดว่าราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 130 บาท/ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 128 บาท/ตร.ม.
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/54 คาดว่ายอดขายจะเติบโตประมาณ 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยกระเบื้องขนาด 12x12 นิ้ว ยังเป็นสินค้าหลักของบริษัท ส่วนกระเบื้องขนาด 16x16 นิ้ว ยอดขายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"ช่วงไตรมาส 1 เราเร่งระบายตัว 12x12 นิ้วไป ไตรมาส 2 ตัว 16x16 นิ้ว ก็ขายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งมาร์จิ้นก็ดีกว่า เราก็คิดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในสิ้นปีจะกลับไปอยู่ที่ 44%"นายมารุต กล่าว
ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่าถ้าไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเหมือนปีที่แล้ว ยอดขายน่าจะเติบโตประมาณ 15-16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยดือนม.ค.บริษัทได้เพิ่มเตาใหม่อีก 1 เตา และในเดือนส.ค.จะเพิ่มอีก 1 เตา ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตโดยรวมเพิ่มเป็น 61 ล้านตร.ม./ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 58 ล้านตร.ม./ปี
และในเดือนพ.ย.จะเพิ่มเตาอีก 1 เตา ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมในสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 65 ล้านตร.ม./ปี และบริษัทยังคงมั่นใจว่ายอดขายรวมทั้งปี 54 จะเติบโตตามเป้าที่ 10%
ส่วนการประกาศลอยตัวก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมที่มีผลตั้งแต่วันนี้ บริษัทนั้นไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากบริษัทใช้ก๊าซธรรมชาติ (LNG) เป็นเชื่อเพลิงหลักในการผลิต