SMT เล็งลดเป้ากำไรปี 54จากโตกว่า 30% รับผลภัยพิบัติญี่ปุ่น-ศก.โลกฉุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 19, 2011 17:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)(SMT)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมีแนวโน้มจะปรับลดเป้าหมายการเติบโตของกำไรในปี 54 จากที่คาดว่าจะโตได้เกินกว่า 30% เนื่องจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อกำไรไตรมาส 2/54 ที่คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมาย ขณะที่ครึ่งปีหลังยังมีปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปที่เป็นความเสี่ยง เนื่องจากบริษัทส่งออกสินค้าป้อนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปประมาณ 10%

"ผลกระทบจากแผ่นดินไหวญี่ปุ่นก็วิ่งมาเรื่อยๆ และไปเสริมแรงกับยุโรป คิดว่าวิกฤตยุโรปรุนแรง ครึ่งปีหลังน่าจะกระทบแน่ แต่ตอนนี้ยังมองว่าน่าจะดีอาจจะมีผลในแง่ลูกค้าปลายทางได้รับผลกระทบ เพราะลูกค้ายุโรปก็ต้องควบคุมค่าใช้จ่าย ทางสหรัฐก็ไม่ดีขึ้น ทางญี่ปุ่นก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งโลกต้องควบคุมค่าใช้จ่าย ยกเว้นเอเชียดี แต่ถ้าครึ่งโลกหายไปหรือไม่ดีก็น่าจะมีผลต่อเรา"นายพลศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นอีก 3-4% จากปัจจุบันต้นทุนค่าแรงอยู่ที่ 7-8% ของยอดขายกลายเป็น 10% ซึ่งจะทำให้การแข่งขันกับรายอื่นได้ลำบาก

"เป้ากำไรปีนี้อาจจะต้องทบทวนอีกครั้ง เพราะสถานการณ์เข้ามาเยอะ ขอดูผลกระทบจากยุโรป มาแรงหรือเปล่า ผลกระทบบ้านเราเรื่องค่าแรงขั้นต่ำก็กระทบแรงถ้าเอาจริง"นายพลศักดิ์ กล่าว

ส่วนรายได้รวมปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปี 53 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายสมาร์ทโฟนในไตรมาส 2/54 ต่ำกว่าที่คาดไว้เพราะลูกค้าปลายทางขายไม่ดี แต่เชื่อว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะกลับมาฟื้นในไตรมาส 3/54 อย่างไรก็ตาม มองว่าในไตรมาส 2/54 ที่รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบเป็นผลกระทบชั่วคราว

"อัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีอาจมีผลกระทบบ้างแต่ต้องปรับตัวโดยไตรมาส 2/53 อยู่ที่ 4% กว่าๆ เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนคงไม่ได้เพราะสินค้าเปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้ความไม่แน่นอนของธุรกิจ การประมาณการเปลี่ยนไปหมด แต่ภาพรวมรายได้ยังใกล้เคียงปีก่อนที่ 13,000 ล้านบาท แต่ส่วนผสมของสินค้าจะเปลี่ยนไป เงินบาทถ้าแข็งค่าดีเพราะซื้อวัตถุดิบข้างนอกแต่ถ้าอ่อนไม่ค่อยดีสำหรับเรา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMT กล่าว

นายพลศักดิ์ คาดว่า กำไรในไตรมาส 2/54 จะได้รับผลกระทบอย่างมากจากภัยพิบัติในญี่ปุ่น แม้ว่าผลกระทบจะไม่เกิดขึ้นโดยตรงต่อบริษัท แต่กระทบโดยตรงกับผู้ค้าปลายทาง ทำให้ลูกค้ามีสินค้าอยู่ในสต็อกจำนวนมาก โดยลูกค้าบางรายก็ได้รับผลกระทบในระบบวัตถุดิบซัพพลายเชน อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าในไตรมาส 3/54 และไตรมาส 4/54 ธุรกิจจะฟื้นตัว เพราะมีสินค้าบางตัวคาดจะดี เช่น HDD แม้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)ไม่ดี แต่ช่วยเรื่องต้นทุนคงที่ เพราะเครื่องจักรที่มีอยู่ได้ใช้งานเต็มที่

และในปี 55 คาดว่ารายได้จะดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการรับรู้รายได้จากการมีตัวแทนฝ่ายขายในไต้หวัน โดยจะตั้งบริษัทใหม่ในไตรมาส 3/54 และจะทำรายได้อย่างเต็มที่ในปีหน้า

สำหรับความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ นายพลศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป กำลังพิจารณากันก่อน เพราะขณะนี้ยังไม่ได้ใบอนุญาตการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โดยหากจะยกเลิกโครงการนี้หรือไม่ ต้องมาทบทวนกันอีกครั้ง เพราะในธุรกิจหลักของบริษัทก็เดินหน้าไปค่อนข้างดี และโครงการใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องยังมีอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ