ทริสฯให้เครดิตหุ้นกุ้ใหม่ KK คงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้เดิม A- แนวโน้มบวก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 20, 2011 15:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 240 ล้านบาทของธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของธนาคารคงเดิมที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Positive" หรือ “บวก"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลประกอบการทางธุรกิจและการเงินของธนาคารที่ดีขึ้น ตลอดจนคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การบริหารความเสี่ยงและแนวทางปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับ ผลงานในการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง แม้ว่าธนาคารจะสามารถกระจายฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยได้มากขึ้น

แต่ยังมีแรงกดดันจากการมีมูลค่าเครือข่ายธุรกิจ (Franchise Value) ที่จำกัด และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดระดมเงินฝากภายหลังจากที่พระราชบัญญัติประกันเงินฝากฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 11 สิงหาคม 2554 นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงทั้งในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และหลักทรัพย์อาจจำกัดความสามารถในการขยายธุรกิจและการทำกำไรของธนาคารในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive" หรือ “บวก" สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไรในระยะปานกลางเอาไว้ได้ อีกทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถของธนาคารที่จะควบคุมคุณภาพสินเชื่อและดำรงเงินกองทุนที่เพียงพอรองรับความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจและการเงินที่ผันผวนในอนาคต ความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงของฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยเนื่องจากการคุ้มครองเงินฝากเป็นประเด็นกังวลที่สำคัญในช่วงปี 2554-2555

ดังนั้น ทริสเรทติ้งจะประเมินผลกระทบภายหลังจากการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองเงินฝากในเดือนสิงหาคม 2554 และอันดับเครดิตอาจได้รับการทบทวนปรับเพิ่มขึ้นโดยพิจารณาถึงความสามารถของธนาคารในการรักษาจุดแข็ง รวมทั้งรักษาระดับความมั่นคงของฐานเงินฝากโดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังอยู่ในระดับที่สมเหตุผลภายหลังจากมาตรการคุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า เมื่อพิจารณาจากขนาดของสินทรัพย์ KK เป็นธนาคารพาณิชย์ในลำดับที่ 9 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของสินทรัพย์ 1.5% ในขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดของเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 1.6% และเงินฝาก 1.2% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 ธุรกิจหลักของธนาคารประกอบด้วยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และธุรกิจการบริหารเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้องและสินทรัพย์รอการขาย ธนาคารสามารถบริหารธุรกิจเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีด้วยความชำนาญภายใต้คุณภาพสินทรัพย์ที่ควบคุมได้ ผลจากแรงหนุนของการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศในอัตรา 2 หลักและการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2553 ทำให้พอร์ตสินเชื่อของธนาคารขยายตัวมากถึง 24% เป็น 108,313 ล้านบาท

ธนาคารมีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คิดเป็นสัดส่วน 71% จากจำนวนสินเชื่อทั้งหมด ในขณะที่ 29% เป็นสินเชื่อเพื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อประเภทอื่น ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เติบโตถึง 28% โดยมีมูลค่าเท่ากับ 77,020 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 60,119 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 ในขณะที่สินเชื่อเพื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและก่อสร้างเติบโตเกือบ 8% จาก 19,160 ล้านบาทเป็น 20,607 ล้านบาท

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า เนื่องจากการมีนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี KK จึงได้กำหนดแนวทางการอนุมัติสินเชื่อและเกณฑ์การให้สินเชื่อที่เข้มงวด ส่งผลให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2550 โดยธนาคารมีอัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้น (ชั้นปกติ ชั้นสงสัย และชั้นสงสัยจะสูญ) ต่อสินเชื่อรวมลดลงอย่างมากจากระดับ 13.3% ในปี 2548 เป็น 3.6% ในปี 2553 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 6.0% ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือนในสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วน 16% ของสินเชื่อโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของธนาคาร ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมของสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือนของหมวดสินเชื่อนี้มีสัดส่วน 10% อัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้นต่อสินเชื่อรวม ณ เดือนมีนาคม 2554 ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ในระดับ 3.1% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ระดับ 5.7% ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง

ธนาคารมีอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ประกอบด้วยสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน และยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้และสินทรัพย์รอการขาย) คิดเป็น 8.96% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับระดับเฉลี่ย 8.57% ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง ธนาคารมีสัดส่วนการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ระดับ 109% นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่งซึ่งอยู่ที่ระดับ 91% ในปี 2553 แม้ว่าธนาคารจะมีการขยายสินเชื่อแก่โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีความเสี่ยงสูง แต่ธนาคารก็ดำรงเงินกองทุนและตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินกองทุนซึ่งรวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญคิดเป็น 0.55 เท่า ซึ่งดีกว่าระดับเฉลี่ยที่ 0.61 เท่าของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง

ธนาคารสามารถสร้างรายได้ที่ดีขึ้นและคงระดับผลตอบแทนจำนวนมากจากสินทรัพย์ในธุรกิจหลักของธนาคาร ในขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี ในปี 2553 ธนาคารรายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 2,840 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 27% จาก 2,229 ล้านบาทในปี 2552 สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 35% จาก 33% ในปี 2552 โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 46% ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่งเป็นอย่างมาก ธนาคารมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 2.11% ในปี 2553 จาก 1.84% ในปี 2552 ในขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเช่นกันเป็น 14.62% จาก 12.69% สำหรับไตรมาสแรกของปี 2554 ธนาคารรายงานผลกำไรสุทธิ 609 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยที่ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีอยู่ที่ระดับ 0.41% และ 2.79% ตามลำดับ

ในด้านเงินทุนนั้น กลยุทธ์ในการเพิ่มจำนวนบัญชีเงินฝากรายย่อยที่มีปริมาณเงินฝากน้อยกว่าส่งผลให้สัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 6% ของเงินฝากทั้งหมด ณ เดือนธันวาคม 2553 จาก 0.7% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 ธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.18% ณ สิ้นปี 2553 เนื่องจากธนาคารเน้นสินเชื่อความเสี่ยงสูงที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยเฉพาะสินเชื่อโครงการที่อยู่อาศัย การดำรงเงินกองทุนและการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะใช้รองรับความเสียหายที่คาดไม่ถึงจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ