นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการ บมจ.อสมท. (MCOT) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นหนังสือต่อกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้กระทรวงการคลังยินยอมลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นจาก 77% ลงมาแต่ถือไม่น้อยกว่า 51% เพื่อรักษาสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไว้ อีกทั้งเพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น MCOT ที่ปัจจุบันมีฟรีโฟลตอยู่ 23% และจะส่งผลดีต่อกระทรวงการคลังเองที่จะได้เงินจากการขายหุ้นออกมา
"เราได้ส่งหนังสือเห็นชอบและยินยอมให้กระทรวงการคลังลดสัดส่วนถือหุ้นตั้งแต่ปลายรัฐบาลที่แล้ว เพราะจะเป็นผลดีทั้ง อสมท และกระทรวงการคลัง แต่ก็ต้องรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่ว่าจะดำเนินการอย่างไร" ประธานกรรมการ MCOT กล่าว
นอกจากนี้ ทาง อสมท. แสดงความจำนงเพื่อสบับสนุนนโยบายกระต้นตลาดทุน โดยเสนอว่าบริษัทมีความพร้อมจะนำบริษัทลูก 2 แห่งคือ เข้าจดทะเบียนในตลาด mai
บริษัทลูก 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท พาโนรามา จำกัด มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และมีรายได้ต่อปี 10 ล้านบาท ซึ่งยังมีขนาดทุนจดททะเบียนน้อย และรายได้ไม่มาก คงต้องใช้เวลาในการสร้างรายได้ ซึ่งจะเพิ่มรายได้โดยรับจ้างผลิตเพิ่มเติม และ บริษัท Seed MCOT จำกัด มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท และมีรายได้ปี 53 จำนวน 180 ล้านบาท ซึ่งดำเนินธุรกิจมา 2 ปี ซึ่งตามเกณฑ์ mai จะต้องจัดตั้ง 3 ปีและมีผลประกอบการเป็นกำไร 3 ปี จึงคาดว่าในปี 56 น่าจะเข้าจดทะเบียนตลาด mai
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ของ MCOT นายสุรพล กล่าวว่า วานนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จัดตั้งบริษัทลูกที่เกี่ยวกับธูรกิจโทรทัศน์ และ ธุรกิจวิทยุ โดยแยกจาก MCOT แต่ MCOT ยังถือหุ้นใหญ่และรับรู้รายได้โดยตรงทั้งธูรกิจโทรทัศน์และวิทยุ และ MCOT ยังคงดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีรายได้จากดำเนินธุรกิจของตนเองด้วย ที่รายได้มาจากสำนักข่าวไทย และรายได้จากสัมปทาน ได้แก่ ทรูวิชั่นส์ และ บมจ.บีอีซี เวิลด์(BEC)
นายสุรพล มั่นใจแม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทแต่จะไม่กระทบกับโครงสร้างรายได้ของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากการปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการเกิดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งหลังจากมีคณะกรรมการ กสทช. คาดว่าจะมีการขยายธุรกิจลงทุนด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้ได้ให้ผุ้บริหารประเมินการลงทุนในแต่ละหน่วยธุรกิจเสนอจะมีการจัดทำแผนร่วมกับคณะกรรมการในปลายเดือน ก.ค. นี้ และในการประชุมคณะกรรมการใน ส.ค. น่าจะมีการอนุมัติแผนบางส่วนได้ และคาดว่าจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทและดำเนินการได้ในปลายปีนี้