บล.ภัทร-บล.ทิสโก้-บลจ.ทหารไทย มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะเติบโตดี ฝ่าวิกฤติหนี้ยุโรป-สหรัฐได้ แนะให้ลงทุนหุ้นมองผลประกอบการดีขึ้น และปัจจัยการเมืองกลับเป็นบวกรอจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ดูดเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับ ขณะที่คาดว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าเดิมไปถึง 4%ในกลางปีหน้า
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ภัทร (PATRA) กล่าวในงานสัมมนา“ส่องกล้องมองทิศทางเศรษฐกิจไทย...จะจัดทัพลงทุนอย่างไรในครึ่งปีหลัง54?"ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อจากช่วงครึ่งปีแรก โดยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจก็ยังดีอยู่ เนื่องจากประเทศไทยมีหนี้สินต่อจีดีพีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ส่วนเรื่องเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ควบคุมได้ค่อนข้างดี
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้อัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 4-5 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ 1-2 ครั้ง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะไปอยู่ที่ 4% ในกลางปีหน้า
ส่วนนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน จะทำให้ต้นทุนโดยรวมของผู้ประกอบการต่างๆขึ้นราว 5-6% และในอนาคตผู้ประกอบการบางแห่งที่สู้ค่าแรงงานไม่ไหว อาจหันไปใช้แรงงานต่างด้าวมากขึ้น และการปรับขึ้นค่าแรงก็คงทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นเช่นกัน ส่งผลถึงภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่ารัฐบาลชุดใหม่ควรจะมุ่งเน้นนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญก่อน เช่น รถไฟฟ้า , ระบบชลประทาน ฯลฯ เพราะจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ นายศุภวุฒิ มองภาพรวมว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่น่าจะมีผลต่อการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ เพราะกว่ารัฐบาลจะเข้ามาบริหารงานก็เป็นช่วงเดือน ก.ย.แล้ว และนโยบายต่างๆอาจจะยังไม่สามารถเริ่มปฏิบัติได้ โดยคาดว่าจีดีพีปีนี้จะยังคงเติบโตที่ 4%
"การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาศัยการเติบโตของการลงทุนของภาครัฐและเอกชน แต่นโยบายของแบงก์ชาติยังมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งยังถือเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน คิดว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ไม่น่าจะมีผลต่อจีดีพีปีนี้ เพราะว่าจะเข้ามาก็ ก.ย.แล้ว คงมีผลปีหน้า"นายศุภวฒิ กล่าว
ด้านปัญหาหนี้สินในยุโรปและสหรัฐถือเป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเชื่อว่าปัญหาคงไม่น่าจะจบคงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในยุโรปปัญหาก็เริ่มขยายตัวไปหลายประเทศ ขณะที่เรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯในที่สุดแล้วคงผ่านพ้นไปได้ แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯก็คงยังไม่กลับมาเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ นายศุภวุฒิ ยังคงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เนื่องจากมองว่าแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีแนวโน้มเติบโตดี ส่วนตราสารหนี้ของประเทศกำลังพัฒนาที่มีหนี้ต่ำก็น่าสนใจเนื่องจากความเสี่ยงลดลง นอกจากนี้ก็แนะนำลงทุนในทองคำที่แนวโน้มราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลเรื่องวิกฤตการเงินในประเทศต่างๆทั่วโลก
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโต ประกอบกับ ปัญหาหนี้สินในยุโรปและสหรัฐฯ จะทำให้สภาพคล่องไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่อย่างเอเชียและตลาดหุ้นไทยไปอย่างน้อยอีก 1 ปี
แต่ในอีกมุมหนี่งก็ถือเป็นแรงกดดันเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ แม้ในที่สุดแล้วจะผ่านไปได้ แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯก็คงจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่วนปัญหาหนี้ยุโรป แม้กรีซจะได้รับการช่วยเหลือทางการเงินรอบ 2 ไปแล้ว แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป แต่เชื่อว่าในที่สุดแล้วกลุ่มสหภาพยุโรปคงไม่ปล่อยให้ปัญหาต่างๆลุกลาม
ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจน การเลือกตั้งผ่านพ้นไปได้ด้วยดีก็เป็นอีกปัจจัยที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งในขณะนี้นักลงทุนก็เฝ้าติดตามดูหน้าตาของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ประกอบกับฐานะการเงิน ระดับเงินกองทุนของประเทศก็ยังอยู่ในระดับที่สูง ระดับหนี้สาธารณะก็ยังอยู่ในระดับต่ำประมาณ 40% ของจีดีพี อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือเรื่องภาวะเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ แนะนำลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ และกลุ่มแบงก์ รวมทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ และทองคำ
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า ความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เป็นเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีปัญหา ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ โดยมองว่าแม้ในที่สุดแล้วรัฐสภาฯสหรัฐฯจะผ่านมติการปรับเพิ่มเพดานหนี้ แต่ก็คงจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก เศรษฐกิจสหรัฐฯคงเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเติบโตดี จากผลประกอบการของภาคเอกชนที่ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยปัจจุบันซื้อขายที่ P/E 13 เท่า และเงินปันผลที่ 3-3.5% ถือเป็นระดับที่น่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุน
"แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นซื้อขายที่ P/E 13 เท่า ปันผล 3% ซึ่งเป็นระดับที่น่าลงทุน และน่าจะลดแรงกดดันเรื่องดอกเบี้ยลงได้"นายสมจินต์ กล่าว