นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยฮา(KASET)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ในปี 54 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 15% เป็น 2 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.7 พันล้านบาท และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีผลประกอบการดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากปริมาณและราคาขายข้าวปรับตัวสูงขึ้นจากครึ่งปีแรก โดยคาดว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต้นๆ จากครึ่งปีแรกที่มีรายได้เกือบ 1,000 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ไว้ที่ 14-15% โดยในไตรมาส 1/54 มีมาร์จิ้น 12% และเชื่อว่าครึ่งปีหลังมาร์จิ้นจะปรับตัวดีขึ้นมากกว่าในไตรมาสแรก ซึ่งบริษัทพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมาย และไม่ต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีมาร์จิ้นประมาณ 14%
"เราหวังรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 15% ครึ่งปีแรกยอมรับว่าราคาตลาดอ่อนตัว เพราะนโยบายของรัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ครึ่งปีหลังคาดว่าปริมาณขายและมูลค่าขายเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งปีแรกที่มูลค่าและปริมาณยังไม่ค่อยเข้าเป้าเท่าไร ราคาต่อหน่วยก็ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลายปี จากเดิมข้าวหอมมะลิเคยขายที่ 200 บาท/กก.ลงมา 160 บาท/กก.แต่เดือน ก.ค.ราคาขึ้นมาประมาณ 100 เหรียญ/ตันแล้ว" นายสมฤกษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ช่วงนี้ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิปรับขึ้นจาก 950 เหรียญ/ตัน เป็น 1,030 เหรียญ/ตันและมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอีก หลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าจะยังไม่ตั้งรัฐบาล เนื่องจากได้หาเสียงไว้ว่าจะใช้นโยยายรับจำนำข้าว โดยข้าวหอมมะลิรับจำนำ 20,000 บาท/ตัน และข้าวขาว 100% รับจำนำ 15,000 บาท/ตัน ทำให้มีคนคาดหวังกับเรื่องดังกล่าวไว้มาก และตอนนี้ตลาดต่างประเทศรับทราบเรื่องนี้แล้ว รวมทั้งได้เข้าซื้อราคาข้าวที่ปรับขึ้นไปบ้างแล้ว
"ราคาที่ตั้งไว้เป็นราคาเป้าหมาย แต่ต้องดูว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีและจะผลักดันถึงเป้าหมายได้หรือเปล่า แต่ส่วนตัวเชื่อว่าราคาต้องมากกว่าเดิมแน่นอน ราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 25% ตอนนี้ขึ้นมา 10กว่า%"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KASET กล่าว
แม้ว่าราคาข้าวที่ปรับขึ้นมาจะทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นสูงขึ้น แต่ในระยะยาวการปรับขึ้นราคาสูงเกินไปก็ไม่ดี จะทำให้สูญเสียส่วนแบ่งตลาด โดยเห็นว่าราคาที่ปรับขึ้นควรเป็นราคาที่ชาวนาพอใจ และแน่นอนการปรับขึ้นของราคาข้าวส่งออกจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในไตรมาส 3/54 และ ไตรมาส 4/54
นายสมฤกษ์ คาดว่า ครึ่งปีหลังตลาดทั้งในและต่างประเทศน่าจะตอบรับราคาข้าวที่ปรับเพิ่มขึ้น และยังมีแนวโน้มคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างมาก ออเดอร์บริษัททยอยเข้ามา ความจริงไม่ต้องการรับออเดอร์มาก เพราะหากคำสังซื้อมีมากจะมีความเสี่ยง ทั้งนี้คาดว่าครึ่งปีหลังราคาข้าวน่าจะขึ้นไปเหนือ 1,100 เหรียญ/ตัน จากปีที่แล้วที่มีราคาเฉลี่ยกว่า 900 กว่าเหรียญ/ตัน
"หากเราดูว่าราคาจะขึ้นไม่ควรจะทำรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าไว้ แต่จะขายเป็น spot เพราะความเสี่ยงต่ำกว่า ถ้าขายแบบสัญญาไม่รู้ว่าพอซื้อจริงไม่รู้ว่าราคาจะเป็นอย่างไร แต่หากทำสัญญาซื้อขายจะทำระยะเวลาไม่ยาวมาก บางรายไม่รับด้วยซ้ำไป ไม่จำเป็นต้องรีบรับ"
นายสมฤกษ์ ยอมรับว่านโยบายของพรรคเพื่อไทย ส่งผลทางจิตวิทยาสูงมาก โดยก่อนหน้าการเลือกตั้ง ราคาข้าวขาวอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท ปรับขึ้นมา 10,000 บาทต้นๆแล้ว
ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของ KASET จะเป็นรายได้จากการขายข้าวหอมมะลิ 80% ที่เหลือเป็นการขายข้าวขาว และสินค้าเกษตรแปรรูป ขณะที่บริษัทมีสัดส่วนส่งออกกับตลาดในประเทศเป็น 50-50 และเงินบาทแข็งค่าไม่ได้กระทบกับบริษัทมากนัก