บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้ายอดขายรวมในปี 54 เป็นเติบโต 20% จากเดิมตั้งไว้ 10% และอาจจะทบทวนเป้าหมายอีกครั้งในไตรมาส 3/54 หลังยอดขายเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ และปรับเพิ่มงบลงทุน 5 ปี (ปี 55-59) เป็น 1.5 แสนล้านบาท จากที่ตั้งงบไว้ 1 แสนล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าเป็นผู้นำธูรกิจเซรามิก ด้วยกำลังการผลิต 150-160 ล้านตร.ม.ภายใน 1-2 ปี
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มการเติบโตของยอดขายปีนี้เป็น 20% จากก่อนหน้าคาดว่าจะเติบโต 10% และไตรมาส 3 นี้ก็มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากยอดขายในครึ่งปีแรกสามารถเติบโตถึง 28% จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และราคาของทุกผลิตภัณฑ์ปรับสูงขึ้น ถึงแม้ราคาน้ำมันยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ยังทรงตัวในระดับสูงอยู่
"เรามองว่า จากการที่เราเห็นตัวเลขครึ่งปีแรกที่เติบโตมาก แม้ในครึ่งปีหลังการเติบโตที่เราคาดไว้จะเติบโต 20%น้อยกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้ฐานที่ใหญ่ขึ้น ราคาปิโตรเคมีโลกก็สูงขึ้นมาก"นายกานต์ กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าสเปรดจะดีขึ้นในปลายไตรมาส 3/54 จนถึงไตรมาส 4/54 เพราะคาดว่า ส.ค.-ก.ย.54 จะมีโรงแครกเกอร์ขนาดกำลังการผลิต 2-3 แสนตันต่อปีจะปิดตัวลง
ด้านภาพรวมธุรกิจก่อสร้างมองว่าในไตรมาส 4/54 จะเห็นความชัดเจนการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นผลบวกต่ออุตสาหกรรม โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้า หากมีความคืบหน้าและไม่มีการเปลี่ยนแปลงแผนงานการลงทุนก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ประกอบการและจะเกิดการลงทุนตามมาอีกมาก โดยที่ผ่านมาสัดส่วนของการใช้ซิเมนต์ในโครงการภาครัฐลดลง
ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน นายกานต์ เห็นว่าจะกระทบกับกลุ่มบริษัทแต่ไม่มากนัก และบริษัทพร้อมปฏิบัติตาม โดยต้นทุนแรงงานอยู่ที่ประมาณ 6-7% ของต้นทุนรวม ส่วนการปรับราคาขึ้นของวัสดุก่อสร้างเป็นไปตามกลไกตลาด และมีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
*เพิ่มงบลงทุน 5 ปี เป็น 1.5 แสนลบ.
นายกานต์ กล่าวว่า จากการบริษัทขยายธุรกิจโดยการเข้าซื้อกิจการในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งปัจจุบันยังดำเนินการต่อเนื่องทั้งในอินโดนีเซียและเวียดนาม ส่งผลให้มีโอกาสที่จะเพิ่มงบลงทุนใน 5 ปีข้างหน้า(55-59)เป็น 1.5 แสนล้านบาท จากเดิม 1 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกิจการ และสอดคล้องกับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน(AEC)
บริษัทมองว่าตลาดการค้าภายในอาเซียนจะเติบโตได้ดี โดยขณะนี้รายได้จากกลุ่มอาเซียนปรับตัวสูงขึ้น ครึ่งแรกปีนี้บริษัทมีรายได้จากการขายในกลุ่มประเทศอาเซียน 11,396 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมในอาเซียนมูลค่า 30,450 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
ปัจจุบัน รายได้รวมมาจาการขายประเทศ 65% และส่งออก 35%
นอกจากนี้ SCC มองว่าธุรกิจเซรามิกจะเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดี โดยตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มอาเซียนใน 1-2 ปีข้างหน้า ที่จะมีกำลังการผลิต 150-160 ล้าน ตร.ม.หลังจากบริษัทเข้าซื้อธุรกิจเซรามิกในอินโดนีเซีย ส่งผลให้มีกำลังการผลิต 149 ล้าน ตร.ม. และเห็นว่าอินโดนีเซียยังเป็นฐานการผลิตหลักในอาเซียน โดยบริษัทมีแผนจะเข้าซื้อกิจการเซรามิกในอินโดนีเซียต่อเนื่อง
ขณะที่บริษัทมองการขยายการลงทุนด้านวัสดุก่อสร้างในเวียดนาม แต่ต้องรอจังหวะและโอกาส เพราะขณะนี้เวียดนามยังมีปัญหาเรื่องค่าเงินดอง ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามนั้น คาดว่าในปลายปี 54 จะมีความชัดเจนเรื่องแหล่งเงินทุน โดยจากการหารือกับพันธมิตรมองว่าน่าจะใช้การกู้เงินจากสถาบันการเงินแล้วให้ผู้ถือหุ้นแต่ละรายเป็นผู้ค้ำประกัน
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุนสูงถึง 4 พันล้านเหรียญ และ SCC จะลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน 51%
นายกานต์ กล่าวว่า ในส่วน SCC ไม่มีปัญหาเงินทุน เนื่องจากบริษัทกระแสเงินสด 5.8 หมื่นล้านบาท และยังมีวงเงินหุ้นกู้ที่ยังไม่เสนอขายเหลืออีก 4 หมื่นล้านบาท จากวงเงินที่ขออนุมัติไว้ 1.5 แสนล้านบาท