บล.ไทยพาณิชย์ แนะทยอยขยายทำกำไรคาดสหรัฐไม่เบี้ยวหนี้แต่เสี่ยงถูกลดเครดิต

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 28, 2011 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.ไทยพาณิชย์ แนะกลยุทธ์การลงทุนว่า ตลาดฯมี Upside gain น้อยกว่า Downside risk ในขณะที่การซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในช่วงหลังทราบผลการเลือกตั้งมีมูลค่าสะสมเท่ากับ 35,706 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เคยขายสุทธิออกไปที่ประมาณ 40,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่าแรงซื้อคืนในระยะสั้นน่าจะลดลง ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนทยอยขายทำกำไรหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามากกว่าตลาดฯ

จากบทวิเคราะห์แนวโน้มปัญหาเพดานหนี้สหรัฐและกลยุทธการลงทุน โดยคาดว่าสหรัฐฯไม่ยอมผิดนัดชำระหนี้แต่มีความเสี่ยงเรื่องการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยประเมินแนวทางของผลการเจรจาเพื่อขยายเพดานหนี้ของรัฐสภาสหรัฐฯไว้ 3 แนวทาง คือ 1.ขยายเพดานหนี้ทันเวลาวันที่ 2 ส.ค. ซึ่งมีโอกาสเกิดมากที่สุดและเป็นกรณีที่ดีที่สุด 2. ขยายเพดานหนี้ไม่ทันวันที่ 2 ส.ค. แต่จะขยายได้ภายหลังจากนั้นไม่นานและไม่ผิดนัดชำระหนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นปานกลาง ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อตลาดการเงินในระยะสั้นแต่ไม่มากนัก และ 3. ผิดนัดชำระหนี้ มีโอกาสเกิดน้อยที่สุด แต่หากเกิดขึ้นจะกระทบต่อตลาดการเงินมากที่สุด

ขณะที่ความเสี่ยงสำคัญของสหรัฐฯ คือ การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อ เนื่องจากไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ทันวันที่ 2 ส.ค.ซึ่งคาดว่าจะเป็นการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเพียงระยะสั้น หรือถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ เนื่องจาก แผนการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯต่ำกว่าระดับที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต้องการ ซึ่งกรณีหลังนี้จะมีผลกระทบมากกว่ากรณีแรก และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาพันธบัตรสหรัฐฯ และ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

แต่ผลกระทบในเชิงลบดังกล่าวจะต่ำกว่ากรณีที่สหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากประเมินว่า นักลงทุนที่เป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯส่วนใหญ่ ได้แก่ จีน และ ญี่ปุ่น จะไม่เทขายพันธบัตรสหรัฐฯที่ถือครองอยู่ออกมา เนื่องจากเป็นการสร้างความเสียหายให้กับตัวเอง ซึ่งประเทศญี่ปุ่นก็เคยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจาก AAA เหลือ AA- เหมือนกันในอดีต แต่แรงขายพันธบัตรมีไม่มากเนื่องจากผู้ถือพันธบัตรส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่นเอง แต่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นสะท้อนอันดับความเสี่ยงที่ลดลง ซึ่งพิจารณาได้จากระดับค่าประกันความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (CDS) ของสหรัฐฯที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้

นอกจากนี้ ประเมินว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับเรื่องปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯไปพอสมควรแล้ว หลังจาก Dollar index อ่อนค่าแล้ว 3% นับตั้งแต่ระดับ 76 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 14 ปี โดยล่าสุด ค่าเงินเยน และ ค่าเงินบาท อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 78 เยน/ดอลลาร์สหรัฐฯ และ 29.74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ หรือแข็งค่าขึ้นในช่วงเดียวกัน 4% และ 2% ตามลำดับ

แนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะผันผวนมากในช่วงวันนี้จนถึงวันที่ 2 ส.ค. คาดว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีโอกาสผันผวนสูงมากในช่วงหลังจากทราบผลการขยายเพดานหนี้ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ภายในสัปดาห์นี้ถึงวันที่ 2 ส.ค.

ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นมีโอกาสผันผวนซึ่งจะขึ้นกับทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นหลัก เนื่องจากมีผลกระทบต่อทิศทางเงินทุนจากต่างประเทศ แต่เรายังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นถึง 1200 จุดได้ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีกว่าในฝั่งสหรัฐฯและยุโรป ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง

แนวโน้มตลาดหุ้นในระยะสั้นแบ่งออกได้เป็น 3 กรณี ได้แก่ 1.ผลการเจรจาขยายเพดานหนี้สำเร็จ คาดว่าจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ซึ่งในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขายทำกำไรระยะสั้นจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีฯมีโอกาสลดลงไปที่ระดับ 1080 จุด ซึ่งเป็นต้นทุนเฉลี่ยของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้

2. สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าต่อเนื่องอีกสักระยะหนึ่ง ส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าต่อเนื่องจากเงินทุนไหลเข้า ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1150 จุด และ 3. สหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลดลงแรง ประเมินว่าอาจลดลงไปได้ถึง 1060-1030 จุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ