ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กวิตกปัญหาหนี้สหรัฐฉุดดาวโจนส์ปิดลบ 62.44 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 29, 2011 06:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 62.44 จุด หรือ 0.51% แตะที่ 12,240.11 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 4.22 จุด หรือ 0.32% แตะที่ 1,300.67 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 1.46 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 2,766.25 จุด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐ โดยนักลงทุนจับตาดูการลงมติร่างกฎหมายการเพิ่มเพดานหนี้ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งร่างกฏหมายดังกล่าวเสนอโดยนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ หลังจากที่วุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครตทั้ง 51 ราย และวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 รายได้ลงนามในจดหมายเพื่อคัดค้านมาตรการดังกล่าวไปเมื่อวันก่อน

ทั้งนี้ นายโบห์เนอร์ได้เสนอให้ปรับเพิ่มเพดานหนี้หลังจากที่มีการแก้ไขกฎหมายที่จะกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐลดยอดขาดดุลงบประมาณลง 9.17 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าแนวทางเดิมของเขา ขณะที่นายแฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ตั้งความหวังว่าสมาชิกสภานิติบัญญัติจะสามารถปรองดองกันได้ในเรื่องการลดยอดขาดดุลงบประมาณ พร้อมกับกล่าวว่า ปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นได้ในสภาคองเกรสภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม

นักวิเคราะห์จากเครดิต สวิสกล่าวว่า หากสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลงรุนแรงถึง 5% และจะฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนัก นอกจากนี้ เครดิต สวิสมองว่า แม้สภาคองเกรสตัดสินใจปรับเพิ่มเพดานหนี้ ก็ยังมีโอกาสถึง 50% ที่สหรัฐจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ และอาจจะทำให้สหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากตลาดได้แรงหนุนในระหว่างวันหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ค. ลดลง 24,000 ราย สู่ระดับ 398,000 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่จำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 400,000 ราย นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 415,000 ราย

หุ้นบริสทอล-เมเยอร์ส สควิบบ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2554 ขณะที่หุ้นเอ็กซอนโมบิล คอร์ป ร่วงลง 1.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนีดาวโจนส์ หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำเกินคาด

หุ้นดูปองท์ดีดตัวขึ้น 1.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการเพิ่มขึ้น 5% พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ด้วย ส่วนหุ้นสปรินท์ เน็กซ์เทล คอร์ป ดิ่งลง 15.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 2

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจรัฐนิวยอร์กเดือนก.ค., สมาคมผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแห่งชาติ (NAPM) จะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนก.ค. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งแรกของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า จีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐจะขยายตัวเพียง 1.8% ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 1.9% และเป็นอัตราการขยายตัวที่ช้าที่สุดในรอบหลายปี เนื่องจากต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ