นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) (SMT)เปิดเผยว่า ยอดคำสั่งซื้อสินค้าชิ้นส่วนสมาร์ทโฟนในไตรมาส 3/54 จะเติบโตกว่า 50% จากไตรมาส 2/54 โดยฟื้นกลับมาเพิ่มขึ้นมาอยู่ในปริมาณเท่าเดิม นอกจากนี้บริษัทยังได้คว้าลูกค้าใหม่ 4 รายจากไต้หวันและญี่ปุน ดันกำลังการผลิตเพิ่มอีก 35% จาก 150 ล้านชิ้น/เดือน เป็น 200 ล้านชิ้น/เดือนในช่วงปลายปี เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นคลี่คลายลง
ขณะเดียวกันยอดคำสั่งซื้อสินค้าฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% เนื่องจากลูกค้าหลักของบริษัทซึ่งเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ อันดับ 1 ของโลก เข้าซื้อกิจการบริษัทคู่แข่ง และทำให้ SMT ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักได้รับประโยชน์จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ประกอบกับในช่วงไตรมาส 3/54 และไตรมาส 4/54 เป็นช่วงพีคของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก คาดว่าผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 3/54 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/54 กว่า 50%
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้เซ็นสัญญาระยะยาวรับงานผลิตชิ้นส่วน MEMS IC ซึ่งมีส่วนกำไรขั้นต้นระดับสูงกับลูกค้ายักษ์ใหญ่ระดับโลกจากเยอรมันด้วย ซึ่งเป็นบริษัทแห่งนี้ที่มีส่วนแบ่งในตลาดโลกมากที่สุด 1 ใน 3 ของโลก ป้อนชิ้นส่วนให้บริษัทฯผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มรถยุโรป อเมริกัน และญี่ปุ่น โดย SMT ได้ร่วมมือพัฒนาชิ้นส่วนกับลูกค้ารายนี้มากว่า 3 ปี มีความสัมพันธ์ที่ดี และ SMT ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหลักสำหรับโรงงานผลิตเวเฟอร์ ชิพ (Wafer Chip) ระดับโลกแห่งใหม่ของลูกค้าที่ประเทศเยอรมัน
"ชิ้นส่วนรถยนต์อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ เป็นเทคโนโลยีระดับสูงสุด ที่ต้องใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสูง เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพสูงสุดและมีเสถียรภาพสูง ข้อดีคือสินค้ามีมูลค่าสูง อัตรากำไรที่ดี มีคู่แข่งที่ทำได้น้อยราย และที่สำคัญมีสายการผลิตยาวนานประมาณ 15-20 ปี การที่ SMT ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับลูกค้าระดับโลกรายนี้เพิ่มขึ้นอีก 1 ราย จะทำให้คาดว่า SMT จะมีการเจริญเติบโตของรายได้และกำไรอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น"นายพลศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ลูกค้ากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์เป็น 1 ในกลุ่มลูกค้าหลักของ SMT ที่ประกอบด้วยผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้ง 3 รายคือ ผู้ผลิตจากอเมริกา 1 รายและจากกลุ่มยุโรป 2 รายโดยสินค้าหลักของบริษัทคือ เซ็นเซอร์อัจฉริยะวัดระดับลมยางรถยนต์ (TPMS SENSOR) ที่บริษัทมียอดผลิตสูงติดอันดับโลก และมีส่วนแบ่งในตลาดอเมริกากว่า 50% หรือ และยังผลิต MEMS SENSOR ที่ยังมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างมากในตลาดโลก
นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มฮาร์ดดิสค์จะมีการเพิ่มปริมาณการผลิตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 3 นี้เนื่องจากลูกค้าหลักของบริษัทฯได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกและสามารถรวบรวมปริมาณการผลิตได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ SMT ในฐานะ 1 ในพันธมิตรหลัก จะได้รับปริมาณออเดอร์เพิ่มขึ้นอย่างสูง จะทำให้รายได้ของบริษัทฯจะเติบโตมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันสินค้าทัชสกรีน กลุ่มสมาร์ทโฟน ยังมียอดการผลิตที่ดีตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากที่ได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างเร่งด่วนไปแล้วในช่วงปลายปีที่แล้วและต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ปีนี้ SMT มุ่งมั่นในธุรกิจการผลิต ไอซีชิพหรือแผงวงจรไฟฟ้ารวม (IC หรือ Integrated Circuit) และได้รับจำนวนออเดอร์เพิ่มจากลูกค้าระดับโลกเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ ได้ขยายกำลังการผลิตทั้ง สายงานวงจรไฟฟ้ารวม (IC) ถึง 50% เป็น 200 ล้านชิ้นต่อเดือนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดย SMT จะใช้งบลงทุนประมาณ 450 ล้านบาทจากเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท และเงินจากเพิ่มทุน
อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นทำให้ออเดอร์สมาร์ทโฟนลดลง ซึ่งในไตรมาส 2/54 นั้นผลประกอบการจะลดลงจากไตรมาส 1/54 แต่ยังมีผลกำไรอยู่