ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากมีรายงานว่าภาคการผลิตของสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมากในเดือนก.ค. ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาดูผลการลงมติร่างกฎหมายปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐซึ่งจะมีขึ้นในวันอังคาร
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.2% ปิดที่ 262.02 จุด ดัชนี FTSEurofirst 300 หุ้นกลุ่มบลูชิพในตลาดยุโรปร่วงลง 1.31% ปิดที่ 1,067.97 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีร่วงลง 204.79 จุด หรือ 2.86% ปิดที่ 6,953.98 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 6,953.98-7,282.01 จุด และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 83.23 จุด หรือ 2.27% ปิดที่ 3,588.05 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,585.62-3,722.59 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.ของสหรัฐขยายตัวที่ระดับ 50.9 จุด ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.ที่ขยายตัว 55.3 จุด และลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 54.9 จุด
นักลงทุนจับตาดูผลการลงมติร่างกฎหมายการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐ โดยสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในช่วงเช้าวันอังคารตามเวลาประเทศไทย และวุฒิสภาจะลงมติในเวลา 23.00 น.ตามเวลาประเทศไทยในวันเดียวกัน
หุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรปร่วงลงอย่างหนัก อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าวิกฤตหนี้สาธารณะอาจจะลุกลามจากกรีซไปยังสเปนและอิตาลี หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนว่า สเปนยังคงอยู่ใน "เขตอันตราย" และจะต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกระทบจากปัญหาหนี้ยุโรป
ทั้งนี้ หุ้นอินเทซา ซานเปาโล ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของอิตาลี ร่วงลง 7.9% หุ้นธนาคารยูบีไอ บังโค เอสพีเอ ดิ่งลง 7.9% หุ้นธนาคารบังโค ซานตานเดร์ ร่วงลง 3.8% และหุ้นธนาคารบังโค ป๊อปปูเลร์ เอสปานอล เอสเอ ดิ่งลง 5%
อย่างไรก็ตาม หุ้นธนาคารเอชเอสบีพีพุ่งขึ้น 2.2% และช่วยลดแรงลบของดัชนี Stoxx Europe 600 หลังจากเอชเอสบีซีเปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรก่อนหักภาษี 11,474 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2553