นางสาวจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมิคัลส์(SGP)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/54 ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/54 ที่มีรายได้จากการขาย 8.6 พันล้านบาท และคาดว่า รายได้ในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ปีนี้จะดีขึ้น
โดยเฉพาะในไตรมาส 4/54 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการรับรู้รายได้ในการเข้าซื้อกิจการ บริษัท เชฟรอน โอเชี่ยนแก๊ส แอนด์ เอ็นเนอร์จี้(COGEL)ที่ซัวเถาเสร็จสิ้น ซึ่งล่าช้าจากเดิมคาดจะรับรู้ได้ในไตรมาส 3/54
"รายได้ในไตรมาส 3 ไตรมาส 4 จะเพิ่มขึ้น แต่ในปีนี้ในไตรมาส 4 /54 จะเพิ่มขึ้นอย่างเป็นนัย เพราะเป็นฤดูกาล อากาศหนาวทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น และในช่วงนั้นเรายังมีการรับจากต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนอีก " นางสาวจินตณา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้เสร็จสิ้นในการเข้าซื้อกิจการที่เมืองที่ซัวเถา จากก่อนหน้านี้ที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนในบริษัท BP Zhuhai LPG Limited. (BPZH) ซึ่งเป็นคลังเก็บก๊าซ LPG ขนาด 2 แสนตัน ที่เมืองจูไห่ ส่วนเข้าซื้อกิจการ COGEL ที่มีคลังเก็บก๊าซ LPG ขนาด 1 แสนตัน การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนรายได้ในต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากเป้า 40% ในปีนี้
จากการเข้าซื้อกิจการในประเทศจีนทั้ง 2 แห่ง ส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวม 3 แสนตัน/ปี ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตรวมในประเทศที่มีจำนวน 1.5 หมื่นตัน/ปี นอกจากนี้ มาร์จิ้นในต่างประเทศยังสูงกว่าในประเทศ เพราะจะอิงกับราคาขายในต่างประเทศที่ปัจจุบันราคาในตลาดโลกเฉลี่ย 800-900 เหรียญ/ตัน ขณะที่ราคาก๊าซในประเทศถูกควบคุมจากภาครัฐ
อีกทั้งความต้องการในประเทศจีนมีปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นจากตามการขยายตลาดในกลุ่มครัวเรือนและอุตสาหกรรมที่ประเทศจีนและภูมิภาค โดย SGP จะใช้คลังเก็บก๊าซในจูไห่เป็นฐานในการเจาะตลาดจีนตอนล่างและประเทศในภูมิภาค ซึ่งมีเป้ายอดขายเฉลี่ย 4 หมื่นตัน/เดือน
อย่างไรก็ดี บริษัทมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศซึ่งอยู่ในแผนงานบริษัท โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในแถบภูมิภาคเอเชีย นอกเหนือการการลงทุนในประเทศ
นางจินตณา กล่าวว่า ปริมาณการใช้ก๊าซในปีนี้มองว่าปรับตัวสูงขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการหันมาใช้ก๊าซมากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทคาดว่ายอดขายก๊าซในประเทศจะเติบโต 9-10% จากปีก่อน อีกทั้งปริมาณการขายก๊าซเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจที่เข้าไปลงทุน ซึ่งจะส่งผลต่อการสร้างรายได้ในปีนี้และใน 1-2 ข้างหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญ
รองกรรมการผู้จัดการ SGP กล่าวต่อว่า บริษัทพิจารณาออกหุ้นกู้วงเงิน 3 พันล้านบาท อายุ 3-5 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยส่วนหนึ่งเป็นการระดมเงินเพื่อลดภาระดอกเบี้ยเดิมที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อรองรับการลงทุนใหม่ และมีหุ้นที่ซื้อคืนอยู่ในมือจำนวน 31 ล้านหุ้น ซึ่งสามารถขายได้ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และขายแบบเฉพาะเจาะจงให้กับนักลงทุนที่สนใจเพื่อเป็นช่องทางในการระดมเงินทางหนึ่ง ซึ่งบริษัทคาดว่าในเบื้องต้นจะเสนอขายในไตรมาส 4/54