ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (3 ส.ค.) โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนเนื่องจากความกังวลที่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะทำให้สหรัฐต้องสูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือ AAA และอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 2% แตะที่ 251.95 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3454.94 จุด ร่วงลง 67.85 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 6640.59 จุด ดิ่งลง 156.16 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5584.51 จุด ร่วงลง 133.88 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าสหรัฐอาจจะสูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือ AAA แม้แม้วุฒิสภาสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายการปรับเพิ่มเพดานหนี้และประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ลงนามรับรองเป็นกฎหมายแล้วก็ตาม
มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศให้แนวโน้มความน่าเชื่อถือของสหรัฐเป็น "เชิงลบ" พร้อมกับเตือนว่า มูดีส์อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ หากวินัยด้านการคลังอ่อนแอลงในปีหน้า หรือหากสหรัฐไม่ได้นำมาตรการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการคลังมาใช้ในปี 2556
ขณะที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ฟิทช์เตือนว่า สหรัฐอาจจะต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากในไม่ช้านี้ แม้สหรัฐประกาศใช้กฎหมายปรับเพิ่มเพดานหนี้แล้วก็ตาม
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าวิกฤตหนี้ยุโรปอาจจะลุกลามเข้าสู่อิตาลีซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในยูโรโซน หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลียังคงอยู่สูงกว่า 6% ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนมองว่าอิตาลีไม่สามารถแบกรับภาระหนี้ได้
หุ้นโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับสองของฝรั่งเศส ดิ่งลง 9% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรไตรมาส 2 ร่วงลง 31% อันเนื่องมาจากการลงทุนในตราสารหนี้ของกรีซ
หุ้นเคร์น เอ็นเนอร์จีดิ่งลง 5.1% หลังจากเคร์นเปิดเผยว่าทางบริษัทไม่พบน้ำมันในบ่อแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งกรีนแลนด์
อย่างไรก็ตาม หุ้นเร็กแซม ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่มรายใหญ่ระดับโลก พุ่งขึ้น 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในตลาดยุโรปเพิ่มขึ้น 29%