นายวิชา พลูวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เปิดเผยว่า บริษัทมีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่ามีรายได้เติบโต 10-15% หลังจากช่วง 6 เดือนแรกรายได้เติบโตแล้วกว่า 20% ประกอบกับในช่วงที่เหลือของปีจะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ลงโรงฉายจำนวนมาก เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวร , Fast Five และ Dark of The Moon
"มีโอกาสที่จะปรับเป้าปีนี้เพิ่ม เพราะเท่าที่เห็นและคุยกับนักวิเคราะห์ก็มองว่าเราดี ซึ่งนักวิเคราะห์จะเห็นตัวเลขที่ละเอียด และจากบทวิเคราะห์ก็เห็นตัวเลขเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นไปได้ตามที่นักวิเคราะห์ประเมิน และปีนี้ก็เป็นปีดีของหนัง แต่ก็อยาก conservative ที่ 10-15% ถ้าได้ก็ดี" นายวิชา กล่าว
บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มโรงหนังดิจิตอลเพิ่มขึ้นเป็น 200 โรงภายในปี 55 จากปีนี้ที่มีจำนวน 98 โรง คาดใช้เงินลงทุนจำนวน 400-500 ล้านบาท จากจำนวนโรงหนังในปีนี้ 380 โรง และจะเพิ่มเป็น 430-440 โรง ซึ่งโรงหนังดิจิตอลได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าแม้ราคาตั๋วจะแพงกว่าโรงหนังปกติถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าต่อเนื่องในการลงทุนขยายธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยได้เตรียมเงินลงทุน 800-900 ล้านบาทในปี 55 จากปีนี้ที่ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท เงินลงทุนส่วนใหญ่ใช้สร้างโรงหนังเพิ่มเติม เช่นที่ เมกะบางนา ซีคอนสแควร์ 2 รวมถึงการลงทุนในธุรกิจคาราโอเกะ โบว์ลิ่ง สเก็ตซ์
นายวิชา กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาภาพยนต์ไทยได้รับการตอบรับที่ดีค่อนข้างมาก มีสัดส่วนการเข้าฉายเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิม 30% ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จากมูลค่ารวมตลาดภาพยนตร์ที่มีกว่า 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงเน้นการขยายสาขาใหม่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เน้นต่างจังหวัดปีละไม่ต่ำกว่า 2-3 สาขา เนื่องจากประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้นจากผลดีของราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น
ล่าสุด บริษัทได้ร่วมมือกับ บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (ICC) เป็นพันธมิตรร่วมสร้างภาพยนตร์ไทย 3 เรื่อง ผ่านบริษัท M39 เพื่อเป็นการส่งเสริมภาพยนตร์ไทยมากขึ้น โดยใช้เงินลงทุนรวม 60 ล้านบาท