ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทรุดตัวลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) โดยดาวโจนส์ร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2552 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง และวิกฤตหนี้สาธารณะอาจจะลุกลามไปทั่วยุโรป ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวทำให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นและสินทรัพย์ทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทรุดฮวบลง 512.76 จุด หรือ 4.31% ปิดที่ 11,383.68 จุด ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 60.27 จุด หรือ 4.78% ปิดที่ 1,200.07 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 136.68 จุด หรือ 5.08% ปิดที่ 2,556.39 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกกระหน่ำขายอย่างหนักเมื่อคืนนี้ ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 500 จุด เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นๆ อันเป็นผลมาจากความกังวลที่ว่าสหรัฐอาจจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหม่ และวิกฤตหนี้อาจลุกลามไปทั่วยุโรป
กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรปมีขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของอิตาลีและสเปนพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าอิตาลีซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหม่เป็นอันดับ 3 ของยุโรป และสเปน จะไม่สามารถชำระคืนหน้าได้ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เริ่มเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลในกลุ่มยูโรโซน โดยมีเป้าหมายที่จะกอบกู้วิกฤตหนี้ไม่ให้รุนแรงมากขึ้น
ส่วนความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีขึ้นนับตั้งแต่สหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค.ของสหรัฐขยายตัวที่ระดับ 50.9 จุด ซึ่งชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.ที่ขยายตัว 55.3 จุด และตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคลดลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี สะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตและการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัว
นอกจากนี้ การชะลอตัวของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคยังทำให้จีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐขยายตัวเพียง 1.3% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 1.8%
นักวิเคราะห์จากพีเอ็นซี ไฟแนนเชียลในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกแรงขายกระหน่ำลงอย่างหนัก แม้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายปรับเพิ่มเพดานหนี้ โดยนักลงทุนกังวลว่าปัญหาหนี้มูลค่ามหาศาลที่สหรัฐกำลังเผชิญอยู่นั้นอาจจะทำให้สถานะการคลังของสหรัฐย่ำแย่ลง และอาจจะทำให้สหรัฐต้องสูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ในที่สุด
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตวัสดุพื้นฐานดิ่งลง 6.6% กลุ่มพลังงานร่วงลงเกือบ 7% หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงกว่า 5% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. ส่วนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดิ่งลงกว่า 5%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังร่วงลงแม้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานในรอบสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 400,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 405,000 ราย
นักลงทุนจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้น 85,000 - 90,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนก.ค.จะทรงตัวอยู่ที่ 9.2%