โบรกเกอร์คาดนักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายทำกำไรหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากที่ขายออกไปแล้ว 4 พันล้านบาท เชื่อจะกลับมาอีกครั้งหากเห็นความชัดเจนออก QE3 แนะเลี่ยงหุ้นรับเหมาก่อสร้าง กล่มส่งออก แต่แนะเก็บหุ้นแบงก์ ค้าปลีกและสิ่งพิมพ์ ด้าน TDRI คาดหวังรัฐบาลใหม่ช่วยดูแลเงินเฟ้อ และนโยบายการคลัง หลังผุดนโยบายประชานิยมออกมาก ระบุ"ธีระชัย"ยังขาดความรู้เศรษฐกิจมหภาค
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประทศไทย) เปิดเผยในงานสัมนา" วิพากษ์นโยบายยิ่งลักษณ์ หุ้นไหนควรลงทุน - หุ้นไหนควรหลีกเลี่ยง"ว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่อง โดยประเมิน 3 วันทำการ ( 5 - 9 ส.ค) นักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่องสุทธิรวม 1 หมื่นล้านบาท จากวันนี้ที่คาดว่าจะขายสุทธิ 4 พันล้านบาท เนื่องจาก จิตวิทยาในช่วงสั้นในการขายทำกำไรของนักลงทุน จากก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ถึง 13% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมทั้งกองทุนต่างประเทศขาย เพื่อคืนเงินให้กับผู้ถือหน่วย
แต่อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตราการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รอบที่ 3 (QE3) ชัดเจนในวันที่ 9 ส.ค. 54
"เป็นเรื่องปกติที่หุ้นเราปรับลดลง ซึ่งเป็นจิตวิทยาในช่วงสั้นที่เกิดจากปัจจัยในต่างประเทศไม่ดี สหรัฐฯเติบโตต่ำมาก ยุโรปเองก็ยังไม่เห็นการฟื้นตัวเร็วๆ นี้ ดังนั้นตลาดที่ดี ก็ในภูมิภาคเอเชีย แต่การที่ขึ้นมาแรงก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะขายออกมาทำกำไร แต่ QE3 จะกลับมากระตุ้นเม็ดเงินการลงทุนอีกครั้ง มองแนวรับ 1,050 จุด" นางสาวมยุรี กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มองว่า จะให้ความสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทั้งนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท นโยบายเงินบาทแข็งค่า และการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23% จาก 30% ซึ่งจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มสิ่งพิมพ์
ส่วนกลุ่มน่ากังวล คือ กลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพราะต้องแบกรับกับต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันนโยบายลดภาษีนิติบุคคล กลุ่มส่งออกก็ไม่ได้ประโยชน์ เนื่องจากส่วนใหญ่ได้สิทธิพิเศษจากบีโอไออยู่แล้ว
รวมทั้งหุ้นบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงคือกลุ่มรับหมาก่อสร้าง เช่น STEC CK และ ITD เนื่องจากได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมากแล้ว หลังจากที่ทราบผลว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ประกอบกับหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะ ITD และ CK มี D/E ค่อนข้างสูงประมาณ 4 เท่า โดยในส่วน STEC ถือว่าเป็นหุ้นที่มีฐานะทางการ เงินแข็งแกร่ง มี Backlog ค่อนข้างมาก แม้ว่าไม่รวมงานใหม่ที่จะได้รับจากรัฐบาล แต่ STEC ยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีสำหรับปีนี้
ส่วนหุ้นในกลุ่มที่เชื่อมโยงกับการเมือง เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากหลังการเลือกตั้งได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว และหลายตัวก็มีความเสี่ยงจากการเพิ่มทุนเพราะขณะนี้มี D/E สูง นอกจากนี้หุ้นหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เมื่อราคาปรับลงมาก็ไม่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนจึงต้องระมัดระวัง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า หุ้นที่น่าจะรับผลดีจาก รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ประมาณ 13 โครงการ จะต้องใช้เงินจำนวนมาก ส่งผลให้มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินในประเทศจำนวนประมาณ 6 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุนอัตราการเติบโตของสินเชื่อ และทำให้เกิดการลงทุนรอบใหม่
ส่วนกลุ่มพลังงานให้รอจังหวะก่อน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับทิศทางราคาน้ำมัน ขณะกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง คือกลุ่มส่งออกและกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพราะจะต้องเผชิญกับต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น
ด้านนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับการใช้นโยบายประชานิยมว่า อยากให้ทำประชานิยมแบบดั้งเดิม คือการช่วยเหลือรากหญ้าอย่างแท้จริง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะในระยะหลังนโยบายประชานิยมกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากรูปแบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ยอมรับว่าเป็นห่วงนโยบายการคลังในระยะยาว เนื่องจากหากรัฐบาลกู้เงิน 8 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุน และนโยบายจำนำข้าว ที่ต้องใช้วงเงิน 5 แสนล้านบาท/ปี จะส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะให้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะที่มองว่าความจำเป็นในการกู้เงินสูงขนาดนั้นมีน้อยเมื่อเทียบกับในอดีต เพราะโดยเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ต้องใช้การกระตุ้นเศรษฐกิจมากขนาดนั้น และอยากให้ดูแลเงินเฟ้อ เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพียงฝ่ายเดียว รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท หากบังคับใช้ทั่วประเทศจะส่งผลกระทบด้านลบให้กิจการปิดตัว และการถูกยกเลิกจ้าง โดยเฉพาะธุรกิจ SME เป็นการเพิ่มค่าจ้าง 80-90% และไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกองทุนน้ำมัน เพราะมองว่าเป็นการเสียภาษีในรูปแบบหนึ่ง
ส่วนมาตราการภาครัฐ ที่สนับสนุน ในเรื่องภาษีนิติบุคคล ควรขยายฐานกลุ่มผู้เสียภาษีให้กว้างขึ้น เช่น ภาษีบุคคล ภาษีนิติบุคคล และภาษีที่ดิน โดยปัจจุบันประชาชนที่มีศักยภาพในการเสียภาษีสูงถึง 1.6 ล้านครอบครัว แต่ไม่ถูกเสียภาษี
นายสมชัยให้ความเห็นกรณีที่นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล ติดโผเป็นรมว.คลังว่า ถือเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะเพราะมีความรู้ตลาดเงินตลาดทุน แต่ควรมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งในเรื่อง เศรษฐกิจมหภาค , รักษาวินัยการคลัง ,ทำงานร่วมกับธปท.ได้ดี และรับผิดชอบสังคม
"คุณธีระชัยก็เคยทำงานในแบงก์ชาติมาก่อน และรู้เรื่องในตลาดเงินและที่ผ่านมาก็ทำงานที่ ก.ล.ต. ก็ทำให้มีความรู้ด้านตลาดทุน ผมก็มองว่าน่าจะโอเคระดับหนึ่ง แต่ผู้ที่จะมารับตำแหน่งควรมีคุณสมบัติให้ครบเหมือนกันเพื่อนำพาประเทศชาติไปได้" นายสมชัย กล่าว