นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย)(SIS)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า มีความเป็นไปได้ที่รายได้ของบริษัทจะเติบโตได้ถึง 26% ตามที่โบรกเกอร์คาดการณ์ จากปีก่อนที่ทำรายได้ 16,584 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้เพิ่มสินค้าบุกตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่กำลังได้รับความนิยมสูงอยู่ในขณะนี้
แต่บริษัทยังคงตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตตามอุตสาหกรรมไอทีที่อาจจะโตมากกว่า 12% ในทุกกลุ่ม แต่ปกติบริษัทก็เติบโตได้มากกว่าตลาดอยู่แล้ว ส่วนกำไรสุทธิปีนี้คงจะสูงกว่าปีก่อน แต่อัตราการเติบโตอาจไม่เท่ารายได้ เพราะหากเป็นโปรเจ็คต์ขนาดใหญ่กำไรอาจจะลดลงบ้าง ทำให้สัดส่วนกำไรไม่เติบโตตามรายได้ โดยรวมกำไรปีนี้จะโตกว่าปีก่อนที่ 295 ล้านบาท
"เป็นไปได้ เพราะปีนี้มีการขายสมาร์ทโฟนจำนวนมาก เราเข้าไปดึงมาร์เก็ตแชร์ในตลาดไอทีได้ จากเดิมที่เราไม่มีส่วนแบ่งในตลาดไอที เพราะเป็นโทรศัพท์มือถือ แต่พอผู้ผลิตไอทีไปผลิตสมาร์ทโฟนและเราเข้าไปเป็นตัวแทนจำหน่ายสมาร์ทโฟน ก็เข้าไปดึงส่วนแบ่งตรงนั้นมาได้ เพราะถ้าเป็นสมาร์ทโฟนก็จะนึกถึง Apple Acer และ BB ซึ่งเราเป็นตัวแทนจำหน่าย"นายสมชัย กล่าว
ปัจจุบัน ตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศคิดเป็น 20% ของตลาดรวมโทรศัพท์มือถือทั้งหมด ซึ่งสินค้าของบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) 30% ของตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศ และปีนี้คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะเติบโตมากกว่า 30-40% ซึ่งเป็นการมองแบบ conservative แต่หากมองแรงกว่านี้ก็อาจจะเติบโตเป็นเท่าตัว
ขณะที่กระแสแท็บเล็ตมาแรงตอนนี้น่าจะส่งผลดีในแง่ยอดขายของบริษัท โดยตลาดรวมคาดว่าปีนี้แท็บเล็ตจะเข้ามาในไทย 1-2 แสนเครื่อง แต่เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ในการใช้เทคโนโลยีก็อาจจะเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น เพราะในแง่การใช้งาน ส่วนใหญ่เครื่องมือที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตจะเริ่มจากเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีก่อน ต่อมายังเป็นโน้ตบุ๊กที่เป็นอุปกรณ์หลัก ส่วนแท็บเล็ตนั้นแม้การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตทำงานได้มากกว่าสมาร์ทโฟนแต่ความสามารถน้อยกว่าพีซีและโน้ตบุ๊ก
ดังนั้น จึงมองว่าคนไทยอีก 70% ที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ก็จะซื้อพีซีหรือโน้ตบุ๊กก่อน เพราะการใช้ประโยชน์จะคุ้มค่าคุ้มราคากว่า ถัดมาถึงจะมองแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน แต่ไม่มีใครจะเริ่มด้วยแท็บเล็ตก่อน เพราะฉะนั้นคนที่จะซื้อแท็บเล็ตต้องเป็นคนที่มีพีซีหรือสมาร์ทโฟนแล้ว ส่วนนโยบายรัฐบาลที่จะแจกแท็บเล็ตเด็กนักเรียนมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะนำมาคาดการณ์
"กระแสแท็บเล็ตอาจมีผลบ้างแต่ไม่มากเพราะเมืองไทยคน 70% ยังไม่มีพีซีหรือโน้ตบุ๊ก ก็ต้องนึกถึงสิ่งนี้ก่อน ขณะที่แอพพลิเคชั่นในต่างประเทศใช้แทนการอ่านหนังสือได้เหมาะมาก ต้องรอดูว่าคนไทยจะใช้ประโยชน์อะไรบ้าง"นายสมชัย กล่าว
นอกจากนั้น ในปีนี้จะได้ความคึกคักจากการที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ๋ทั้ง 3 ราย จะเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดการใช้สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ก่อนที่จะมีการพัฒนา 3G บนคลื่นความถี่ใหม่ที่คาดว่าจะมีการเปิดประมูลใยอนุญาตได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
เช้าวันนี้ SIS และบริษัทย่อยรายงานมีกำไรสุทธิรวมประจำไตรมาส 2/54 เท่ากับ 102.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 42.2 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายได้รวมและเพิ่มขึ้นจากสินค้าใหม่ในกลุ่ม Smartphoneนอกจากนี้ ยังมาจากการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีกำไรสูงเพิ่มขึ้น และครึ่งปีแรกมีกำไรรวม 194.16 ล้านบาท
"รายได้และกำไรไตรมาส 2 ทำสถิติสูงสุดใหม่คือสูงกว่าไตรมาส 1 เนื่องจากเป็นฤดูกาลสินค้าไอทีไตรมาส 2 จะขายดีกว่าไตรมาส 1 ประกอบกับปีนี้ สพฐ.ที่เร่งซื้อสินค้าไอที โดยครึ่งปีแรกรายได้เกิน 10,000 ล้านบาทขึ้นไป จากไตรมาส 1 ได้แล้ว 5,038 ล้านบาท"นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังทั้งรายได้และกำไรก็จะดีกว่าครึ่งปีแรกเพราะไตรมาส 3/54 เป็นไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ซึ่งทุกหน่วยงานราชการจะต้องรีบใช้งบฯ เชื่อว่าจะมีการเร่งประมูลหรือจัดซื้อมากขึ้นในไตรมาส 3 ก็จะช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตมากที่สุดของปี
ส่วนไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสแรกของหน่วยงานราชการ หากรัฐบาลชุดไหนต้องการเร่งใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะใช้เงินเร็วเหมือนรัฐบาลชุดก่อนที่เริ่มใช้เงินตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.-ธ.ค.) แต่ปีนี้การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่เสร็จสิ้นก็คงจะทำให้การใช้จ่ายงบประมาณทำไม่เร็วนัก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่บริษัทกังวลว่าจะกระทบต่อธูรกิจคือวิกฤตหนี้ยุโรปและสหรัฐ เพราะหากจะคุมหนี้ก็ต้องลดการจับจ่ายใช้สอยลง ซึ่งอาจเปิดผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ขณะที่ในประเทศ เมื่อการเมืองเปลี่ยนรัฐบาลก็จะมีความเสี่ยงทุกครั้ง โดยเฉพาะในแง่นโยบาย แต่หากทั้ง 2 ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้สร้างปัญหา ก็จะทำให้ภาคธุรกิจเติบโตได้ดี