(เพิ่มเติม) SYNEX ปรับเพิ่มเป้ากำไรปี 54 เป็นโต 40%จาก 20%,คาดครึ่งปีหลังโตขึ้นอีก

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 9, 2011 11:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซินเน็ค (ประเทศไทย)(SYNEX) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายกำไรในปี 54 เป็นเติบโต 40% จากช่วงต้นปีเคยคาดไว้ในระดับ 20% โดยเป็นการเติบโตตามอุตสาหกรรมไอที โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าใหม่ของบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

บริษัทตั้งเป้ายอดขายสมาร์ทโฟนในปี 54 ไว้ที 1.5 พันล้านบาท หรือดคิดเป็น 7-8% ของยอดขายรวม หลังจากที่บริษัทเพิ่งเปิดหน่วยธุรกิจดังกล่าวเมื่อปลายปี 53

แนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังปี 54 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องได้ตามทิศทางเดียวกับการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนและไอที ประกอบกับมองว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายสนับสนุนด้านไอที โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปีไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปี 53 หลังจากที่บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของสินค้าให้จัดจำหน่ายสินค้าที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงเพิ่มขึ้น

"แนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามอุตสาหกรรมไอที ช่วงไตรมาส 3 เป็นไฮซีซั่น ส่วนไตรมาส 4 และไตรมาส 1 จะใกล้เคียงกัน แต่ปีนี้ไตรมาส 4 มีโอกาสสูงกว่าไตรมาส 1 หลังตลาดรวมยังดี และการเข้ามาของรัฐบาลชุดใหม่ก็เป็นรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้การสนับสนุนด้านไอทีด้วย"นายสุพันธุ์ กล่าว

และในปีนี้บริษัทฯ มีกลุ่มสินค้าที่จำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 9 กลุ่ม จากเดิม 8 กลุ่มสินค้า โดยกลุ่มสินค้าที่เพิ่มขึ้น คือ สมาร์ทโฟน ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีกว่าสินค้าไอทีทั่วไป ในขณะเดียวกันยังได้รับปัจจัยบวกจากสินค้าไอที่มีราคาที่ถูกลง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าดังกล่าวได้มากขึ้นอีกด้วย จึงสะท้อนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตไปในทิศทางเดียวกันได้ดังกล่าว

สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.54 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการ 9,850.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,346.58 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 31.27 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 216.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.28 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.47 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายสุพันธุ์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการครึ่งปีหลังน่าจะสูงกว่าเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่าย 0.05 บาท/หุ้นในครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และกำไรที่มากขึ้น

กรณีที่รัฐบาลอาจมีนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน คาดว่าคงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากธุรกิจของบริษัทใช้แรงงานค่อนข้างน้อย

ขณะที่มองว่าวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปคงจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไอทีในประเทศไม่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเติบโตดี กำลังซื้อของผู้บริโภคยังดีอยู่ ในทางกลับกันจะส่งผลบวกจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ทำให้การนำเข้าสินค้ามีราคาถูกลง แต่ในส่วนของบริษัทไม่รับผลกระทบจากการอ่อนค่าหรือแข็งค่าของเงินบาทมากนัก เนื่องจากได้ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไว้มากกว่า 90%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ