นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/54 คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิจะดีกว่าไตรมาส 2/54 ที่มีกำไรสุทธิ 2,140 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นเป็น 54 ล้านตัน จากช่วงครึ่งปีแรกที่มีกำลังการผลิต 44 ล้านตัน เนื่องจากบริษัทได้ทำการปิดซ่อมบำรุง AR1 เป็นเวลา 47 วัน และ AR2 เป็นเวลา 12 วัน ทำให้กำลังการผลิตครึ่งปีแรกหายไปส่วนหนึ่ง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังไม่มีกำหนดปิดซ่อมบำรุงแล้ว
พร้อมทั้งคาดว่าส่วนต่างราคา(สเปรด)พาราไซลีนจะปรับสูงขึ้นจาก 620 เหรียญสหรัฐ/ตันในครึ่งปีแรก ขณะที่สเปรดเบนซีนต้นไตรมาส 3/54 มีทิศทางราคาที่กลับมาดีต่อเนื่อง แต่อาจยังไม่ดีเท่าต้นปี 53
สำหรับทิศทางราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะอยู่ที่ 105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากครึ่งปีแรก 110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และหากราคาน้ำมันทรงตัวในระดับทีได้ประมาณการไว้ ก็จะทำให้รายได้ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3.5 แสนล้านบาท หรือเติบโต 28% จากรายได้ในปี 53
"วิกฤติเศรษฐกิจในอเมริกาไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อของบริษัทเพราะลูกค้าหลักเป็นประเทศเกิดใหม่และประเทศแถบเอเซียซึ่งการเติบโตยังสูง แต่เราต้องประเมินอนาคตว่าวิกฤติครั้งนี้จะส่งผลในระยะยาวหรือไม่ แต่ขณะนี้เหตุการณ์ยังยากที่จะประเมิน ซึ่งคาดว่าความตื่นตระหนกจะส่งผลระยะสั้นที่กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก" นายบวร กล่าว
ส่วนค่าการกลั่น (GIM) เฉลี่ยในครึ่งปีหลังน่าทรงตัวอยู่ระดับไม่ต่ำกว่า 7.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลจากครึ่งปีแรก และประเมินว่า GIM ในธุรกิจโรงกลั่นยังทรงระดับสูงต่อเนื่องถึงปี 56 ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี แม้มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา โดยเฉพาะโรงงานผลิตพีทีเอในประเทศจีน แต่กลับส่งผลดีต่อบริษัทเนื่องจากพีทีเอใช้พาราไซลีนเป็นวัตถุดิบหลักของสารตั้งต้นการผลิต
นายบวร กล่าวถึงการควบรวมกิจการกับ บมจ.ปตท.เคมีคอล(PTTCH)ว่า น่าจะสามารถเรียกประชุมคณะกรรมการทั้งสองบริษัทได้พร้อมกันในต้นเดือน ก.ย. และต้นเดือน ต.ค.ก็คงจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นได้ ส่วนแผนการลงทุนในอนาคตคงต้องรอการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จก่อนจึงจะมีการทบทวนแผนการลงทุนร่วมกันอีกครั้ง แต่ในส่วนของยูโร 4 บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผน คาดว่าแล้วเสร็จในเดือน ก.ย.54 เพื่อให้ทันการบังคับใช้ยูโร 4 ในต้นปี 55