นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ยูโอบี (ไทย) บริษัทได้ออกกองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 6 (UOBSS6)หลังเห็นโอกาสในการเข้าลงทุน เป็นกองทุนที่จะลงทุนในตราสารทุนที่มีแนวโน้มหรือปัจจัยพื้นฐานดี ทั้งนี้เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน และคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเป็นสำคัญ มีการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่ชัดเจน และผู้จัดการกองทุนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ หวังสร้างผลตอบแทนเป้าหมาย 7% ภายใน 1 ปี เปิดเสนอขายครั้งแรกและครั้งเดียว ระหว่างวันที่ 10-16 ส.ค.นี้
มีเงื่อนไขการเลิกกองทุนก่อนกำหนด หากมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.85 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน และมูลค่าหน่วยลงทุนที่จะรับซื้อคืนอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ณ วันทำการใดถัดจากเหตุการณ์ตามเงื่อนไข ข้อ 1 ไม่ต่ำกว่า 10.70 บาทต่อหน่วย และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเงินฝากทั้งหมด โดยกองทุนจะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
และหากภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากวันจดทะเบียน ไม่เกิดเหตุการณ์ที่มูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นจนเป็นเหตุให้เลิกกองทุนตามเงื่อนไขข้างต้น บริษัทจัดการจะเปิดให้มีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติในวันทำการวันแรกถัดจากวันครบระยะเวลา 1 ปี เป็นต้นไป และจะทำการเลิกกองทุนหากเกิดเหตุการณ์ตามเงื่อนไขการเลิกกองทุนข้างต้น
นายวนา กล่าวอีก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ จากแรงขายทำกำไรหนาแน่น เมื่อบรรยากาศการลงทุนเป็นเชิงลบจากความกังวลปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงอ่อนแอและมีความจำเป็นต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงในอนาคต ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงแรง 4.31 ในคืนวันที่ 4 ส.ค. และน้ำมัน NYMEX หลุด US$90/ barrel เพราะความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรปและการเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลกระทบให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลงร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว โดยปิดที่ 1093.3 (ณ 5 สิงหาคม 2554)
ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเติบโตในระดับที่ดี โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2554 ตัวเลขผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะอยู่ที่ 4-5% รวมถึงปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาคเอกชน และตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ เติบโตได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในปี 2554 บริษัทจดทะเบียนจะมีผลกำไรเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ 13 ส่งผลให้ผู้บริหารยังมีความมั่นใจในธุรกิจ มีสภาพคล่องในระดับสูง ซึ่งจะนำไปสู่การขยายการลงทุนในอนาคต อีกทั้งการเลือกตั้งที่ผ่านไปได้ด้วยดี และคาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพ
“ถึงแม้ในขณะนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยภายนอก และเมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศนั้น ยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักคือตัวเลขผลประกอบการของธุรกิจที่ดี และการเมืองที่มีเสถียรภาพ จึงเล็งเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อเข้าลงทุนในตลาดหุ้น" นายวนา กล่าว