นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) (SMT) ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของไทย คาดครึ่งปีหลังจะมียอดขายเติบโตกว่า 50% จากครึ่งปีแรก เป็นผลได้ปรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ (Product Mix) เพื่อเพิ่มฐานกำไรจากผลิตภัณฑ์ IC, Hard Disk Drive, MEMS หรือ TPMS ให้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อสินค้าหลักต่างๆ ทั้งสินค้ากลุ่ม IC, MEMS และ เซ็นเซอร์อัจฉริยะวัดระดับลมยางรถยนต์ (TPMS) ได้กลับมาสู่ระดับสูงเช่นเดิม ในขณะที่ ธุรกิจฮาร์ดดิสค์ไดรฟ์ (HDD) ซึ่ง SMT เป็น 1 ในผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตฮาร์ดดิสค์ไดรฟ์รายใหญ่ของโลกนั้น บริษัทได้รับปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 3 จนถึงไตรมาส 4 เนื่องจากลูกค้าหลักของบริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการและขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก จึงทำให้ SMT สามารถสร้าง การประหยัดเชิงขนาด (Economy of Scale) ได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ในธุรกิจ IC (Integrated Circuit) SMT ได้ลูกค้าใหม่อีก 3 ราย จากประเทศไต้หวันซึ่งเปรียบเสมือน ซิลิคอน แวลเลย์ของเอเชีย ทำให้ SMT ต้องขยายกำลังการผลิต เพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านชิ้นต่อเดือนภายในไตรมาส 4 (เพิ่มขึ้นกว่า 50% จากช่วงต้นปี) ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง
ทั้งนี้ SMT จะใช้งบลงทุนประมาณ 345 ล้านบาทจากเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุน (RO) ยิ่งไปกว่านั้น SMT ยังได้รับออเดอร์ระยะยาวจากลูกค้ายักษ์ใหญ่ระดับโลกจากเยอรมันอีก 1 รายเพื่อผลิตสินค้ากลุ่ม MEMs สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ อาทิ เซ็นเซอร์ควบคุมเครื่องยนต์ (Engine Management Sensor) ซึ่งSMT จะได้รับออเดอร์ขนาดใหญ่ ในระยะยาวกว่า 10 ปี สำหรับใช้ในรถยนต์ค่ายยุโรป และอเมริกา และขณะเดียวกันในประเทศกลุ่ม EU กำลังจะมีการบังคับใช้กฎหมาย ให้รถยนต์ทุกคันติดตั้งอุปกรณ์วัดลมยางอัตโนมัติ (TPMS) ในปี 55 ซึ่งจะส่งผลทำให้ SMT ซึ่งเป็นผู้ผลิต TPMS Sensor รายหลักของโลกได้รับปริมาณออเดอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในครึ่งปีแรกของปี 54 มีรายได้รวม 4,439 ล้านบาท และมีผลกำไรสุทธิ 202 ล้านบาท ลดลงประมาณ 14% จากกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกของปีที่แล้วซึ่งมีรายได้รวม 7,300 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญีปุ่น
"ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ SMT มีอัตรากำไรขั้นต้นที่เติบโตขึ้น 34% เป็น 6.38% ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิเติบโตขึ้น 14% เป็น 4.58% แต่ปริมาณรายได้และกำไรมาปรับตัวลดลง เนื่องจากในช่วงปลายไตรมาส 2 บริษัทได้รับผลกระทบชั่วคราวจากภัยภิบัติสึนามิและระบบห่วงโซ่อุปทานของวัตถุดิบในส่วนของสายการผลิตทัชสกรีนของสมาร์ทโฟน"นายพลศักดิ์ กล่าว
ส่วนความคืบหน้าของการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนนั้น บริษัท SMT Green Energy ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ที่ SMT ถือหุ้นทั้งหมด กำลังรอดูความชัดเจนด้านนโยบายของรัฐบาลใหม่ ในการสนับสนุนด้านโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน